ซีพีออลล์สยายปีกคุมอาเซียน คว้าสิทธิ์บริหารเซเว่นฯใน “ลาว-กัมพูชา”

“ซีพี ออลล์” ผงาดคว้าสิทธิ์เซเว่นอีเลฟเว่น บุก สปป.ลาว บริษัทแม่ไฟเขียว 30 ปี ต่อสัญญาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 20 ปี หลังจากเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็เพิ่งได้สิทธิ์เปิดร้านสะดวกซื้อแบรนด์ดังในกัมพูชาไปแล้ว

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL ได้แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 เกี่ยวกับการเจรจาทำความตกลงเพื่อการเข้าทำสัญญาแฟรนไชส์หลักสำหรับลงทุนจัดตั้งและดำเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศเพื่อนบ้าน ให้ทราบไปก่อนหน้านี้ บริษัทขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 CP ALL LAOS CO., LTD. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท (ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99%) โดย Albuera International Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% ได้เข้าทำสัญญาแฟรนไชส์หลักสำหรับดำเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กับ 7-Eleven, Inc. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย CP ALL LAOS CO., LTD. ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ในการจัดตั้งและดำเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นระยะเวลา 30 ปี โดยคู่สัญญาอาจตกลงต่ออายุสัญญาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 20 ปี

ทั้งนี้ CP ALL LAOS CO., LTD. เป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามกฎหมายสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อดำเนินธุรกิจร้าน 7-Eleven ตามสัญญาแฟรนไชส์หลักข้างต้นในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกเป็นจำนวนทั้งสิ้น 20,000,000,000 กีบลาว (หรือประมาณ 2,200,000 เหรียญสหรัฐ)

ก่อนหน้านี้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท ซีพี ออลล์ (กัมพูชา) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท (ถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดย Albuera International Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% ได้เข้าทำสัญญาแฟรนไชส์หลักสำหรับดำเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศกัมพูชา 7-Eleven, Inc. โดยบริษัท ซีพี ออลล์ (กัมพูชา) ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ในการจัดตั้งและดำเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศกัมพูชา เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยคู่สัญญาอาจตกลงต่ออายุสัญญาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 20 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ บริษัท ซีพี ออลล์ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวม 106 สาขาในทุกประเภท ทั้งร้านสาขาบริษัท ร้าน store business part-ner (SBP) และร้านค้าที่ได้รับสิทธิ์ช่วงอาณาเขต ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2563 บริษัทมีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวม 12,089 สาขา แบ่งเป็น (1) ร้านสาขาบริษัท 5,456 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 45) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 55 สาขาในไตรมาสนี้ (2) ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิ์ช่วงอาณาเขต 6,633 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 55) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 51 สาขา ในไตรมาสนี้ ร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85 ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.

ในไตรมาส 2 ปี 2563 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 70,359 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสนี้มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน เท่ากับ 66,950 บาท และอัตราการเติบโตยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิมลดลงเท่ากับร้อยละ 20.2 โดยมียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณเท่ากับ 79 บาท

ในขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 840 คน ทั้งนี้จำนวนลูกค้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยนำเสนอช่องทางการขายสินค้าผ่านระบบ O2O อาทิ 7-Eleven Delivery, All Online และ 24shopping ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

ไตรมาส 2 ปี 2563 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีกำไรขั้นต้นจำนวน 19,414 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18.7 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 27.6 ลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2562 ที่มีอัตราส่วนร้อยละ 28.2 สาเหตุหลักมาจากสัดส่วนสินค้ากลุ่มที่มีกำไรขั้นต้นสูงลดลง อาทิ กลุ่มสินค้าที่เป็นอาหารและเครื่องดื่มพร้อมทาน และกลุ่ม personal care เป็นต้น