ไทยเบฟทุ่ม 7.4 พันล้านโตไม่หยุด จัดทัพบุกอาเซียน-ปรับโครงสร้างF&N

“ไทยเบฟ” เดินหน้าลงทุน 7.4 พันล้าน ดันรายได้เติบโตรอบทิศ ขนเหล้า เบียร์ น็อนแอลกอฮอล์ บุกหนักต่างประเทศ หวังดันรายได้ 50% ตามเป้า ก่อนลุยปรับโครงสร้าง F&N เร่งซินเนอร์ยี่การบริหารจัดการเสริมแกร่งธุรกิจในเครือ

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2560-2561 ของบริษัท มีแผนที่จะใช้งบฯลงทุนในการปรับปรุง เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารด้านต่าง ๆ จำนวน 7.4 พันล้านบาท เนื่องจากต้องการผลักดันกลุ่มธุรกิจน็อนแอลกอฮอล์มากขึ้น ให้มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 50% ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ในอีก 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ F&N ในด้านการบริหารให้มีความเชื่อมโยงกับไทยเบฟมากขึ้น โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของการถือหุ้นของเดิมที่ไทยเบฟถืออยู่ 28.5% มากขึ้น โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางปีหน้า

ส่วนภาพรวมอีก 3 เดือนสุดท้าย มองว่าเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตตามที่วางเอาไว้ จากที่รายได้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค. 59-ก.ย. 60) อยู่ที่ 1.42 แสนล้านบาท ลดลง 6% เนื่องจากเหตุการณ์ในประเทศที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทยังสามารถมีกำไรสุทธิเติบโต 3.1% หรือ 2.1 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากการปรับตัวทางธุรกิจที่สามารถบริหารจัดการ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เกิดขึ้น

ส่งเหล้าลุย AEC

นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา ระบุว่า กลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจสุราในปีนี้ เตรียมที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “รวงข้าวซิลเวอร์” ในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยมีภาพลักษณ์ที่พรีเมี่ยมขึ้น ราคา 168 บาท จากเดิม 120 บาท เพื่อขยายโอกาสการดื่มใหม่ ๆ เช่น ช่องทางร้านอาหาร ตลอดจนขยายโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ไปยังตลาดในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น เช่น เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์ ฯลฯ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตจำหน่ายในเวียดนาม

หลังจากเข้าไปจัดตั้งบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลเบฟเวอเรจ เวียดนามไปเมื่อปีที่ผ่านมา ตลอดจนตลาดในเอเชียเหนือ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเข้าไปในปีหน้าและมีแผนจัดตั้งโรงงานผลิตในต่างประเทศภายใน 3 ปีเพื่อเสริมการทำตลาดในภูมิภาค โดยในอนาคตจะผลักดันให้รวงข้าวเป็นเบอร์ 1 ของโลก ในด้านวอลุ่มการขาย จากปัจจุบันที่เป็นเบอร์ 3 นอกจากนี้ยังมีการปรับโฉมเหล้าสี เบลนด์ 285 ใหม่ให้มีความทันสมัยและดึงดูดใจผู้บริโภคมากขึ้นให้เทียบเท่าสุราต่างประเทศระดับพรีเมี่ยม เพื่อรุกตลาดเหล้าสีด้วยเช่นกัน ส่วนการปรับราคาหลังจากภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่มีผลบังคับใช้นั้นเป็นไปตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาปรับขึ้นเฉลี่ย 2%

เบียร์รุกหนักปลายปี

นายเอ็ดมอนด์ นีโอ คิมซูน กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า เป้าหมายของกลุ่มธุรกิจเบียร์นอกจากจะต้องการขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในไทยแล้ว ยังต้องการเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียน

โดยในช่วงปลายปีเตรียมออกสินค้าแพ็กเกจจิ้งใหม่ และนำไซซ์ 3 ลิตร เทียบเท่าขวดแชมเปญกลับมาจำหน่ายอีกครั้ง เพื่อสร้างสีสันให้กับตลาดและกระตุ้นยอดขาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ภาพรวมของตลาดเบียร์จะหดตัวลง 8% แต่เบียร์ช้างยังคงรักษามาร์เก็ตแชร์เอาไว้ได้อยู่ที่ 40% สำหรับตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ได้เข้าไปทำตลาด และนำสินค้าไปจำหน่ายแล้วในเวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์

กว้านซื้อแบรนด์อาหาร

นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหาร ประเทศไทย ระบุว่า สำหรับธุรกิจอาหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มน็อนแอลกอฮอล์ มีแผนที่จะสร้างการเติบโตนอกเหนือจากกลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่นมากขึ้น เพื่อตอบรับกับโอกาสจากผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป ซึ่งนอกจากดีลของร้านเคเอฟซีแล้ว ล่าสุดบริษัทฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด ยังเข้าไปถือหุ้นบริษัทสไปซ์ ออฟ เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ร้านอาหารไทย เช่น คาเฟ่ ชิลลี, ชิลลี่ ไทย เรสเตอร์รอง, อีท พอท และ พอท มินิสทรี ในสัดส่วน 76% และภายในต้นปีเตรียมที่จะเปิดแบรนด์ใหม่ ในกลุ่มร้านอาหารไทยแบบไฟน์ไดนิ่ง

นายลี เม็ง ตัท กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ระบุว่า กลุ่มธุรกิจน็อนแอลกอฮอล์ มีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่งทั้งในตลาดประเทศไทย และตลาดอาเซียน นำโดยสินค้าเรือธงในแคทิกอรี่ต่าง ๆ เช่น น้ำอัดลม เอส โคล่า และเอฟแอนด์เอ็น, เกลือแร่ ฮันเดรด พลัส, ชาเขียว โออิชิ, นมถั่วเหลืองนิวทริซอย, นมแม็กโนเลีย โดยปัจจุบันได้นำชาเขียวโออิชิเข้าไปทำตลาดในมาเลเซีย และเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาดชาเขียวแล้ว