ธุรกิจ…ชิงกำลังซื้อสะพัด ทัวริสต์จีน ทะลักโกลเด้นวีก

คอลัมน์ Market Move

ปีนี้ช่วงหยุดยาววันชาติจีน ระหว่างวันที่ 1-8 ต.ค.ถือเป็นโอกาสทองของหลากหลายธุรกิจทั้งค้าปลีกและท่องเที่ยว เมื่อชาวจีนหลายร้อยล้านคนจะเดินทางท่องเที่ยวช็อปปิ้งทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งปีนี้สถาบันการท่องเที่ยวประเทศจีนคาดการณ์ว่าชาวจีนประมาณ 710 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 83.6% และนอกประเทศ 16.4% รวมถึงจะใช้เงินช็อปปิ้งสะพัดเฉียด 8.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าปีที่แล้วถึง 12.2%

โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นเป้าหมายหลักด้วยการครอง 4 ตำแหน่งในตารางท็อป 10 เป้าหมายการท่องเที่ยวที่ประกอบด้วยไทย, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, สหรัฐ, ออสเตรเลีย, แคนาดา, เวียดนาม, อิตาลี, รัสเซีย และมาเลเซีย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความใกล้และนโยบายฟรีวีซ่า รวมถึงกระแสแบนเกาหลีใต้

ส่งผลให้หลายประเทศเร่งเตรียมตัวรับคลื่นนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามา โดยญี่ปุ่นได้เดินหน้าโปรโมตโปรโมชั่นต่าง ๆ ล่วงหน้าตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. พร้อมจ้างนักศึกษาจีนมาเป็นพนักงานในร้าน รวมถึงเปิดรับระบบชำระเงินของจีนอย่างอาลีเพย์ เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่หวังให้เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวจีนมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจุดที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นแผนแจกคู่มือเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในสิงคโปร์ ความหนา 30 หน้า ให้กับนักท่องเที่ยวจีนเพื่ออำนวยความสะดวกและลดปัญหาการทำผิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ เช่น การทิ้งขยะ ข้ามถนนหรือส่งเสียงดัง

ด้านออสเตรเลียกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เตรียมจับนักลงทุนจีนที่เดินทางมาเยี่ยมญาติ ด้วยการพาชมโครงการแบบสุดหรูทั้งเฮลิคอปเตอร์และรถลิมูซีน หวังสร้างยอดขาย โดย “ไมเคิล พาลิเออ” เอ็มดีของซิสนีย์ โซเทอบีย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ กล่าวว่า ช่วง 8 วันนี้อาจสร้างยอดขายได้ถึง 31 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับยุโรปแม้จะไม่ติดอันดับภูมิภาคยอดฮิตเนื่องจากระยะเวลาเดินทางนานและเหตุก่อการร้ายต่อเนื่อง แต่ “พรีเมียร์ แทกซ์ ฟรี” (Premier Tax Free) บริษัทผู้ให้บริการคืนภาษี (tax refund) มองว่า โกลเด้นวีกของจีนที่ยาวเป็นพิเศษและตรงกับสุดสัปดาห์พอดีนี้จะช่วยจูงใจให้ชาวจีนตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวยุโรปกันมากขึ้น

ทั้งนี้เป้าหมายยังเป็นเมืองหลักของประเทศในยุโรปตะวันตก อาทิ ลอนดอนประเทศอังกฤษ ปารีสของฝรั่งเศส ส่วนอิตาลีเป็นมิลาน โรมและเวนิซ ซึ่งต่างมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นตลอดปีนี้

พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักช็อปแดนมังกรเมื่ออยู่ในยุโรปอีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะกันงบฯช็อปปิ้งไว้ถึง 27% ของงบฯทั้งหมด และแม้สินค้าหรูจะยังเป็นเป้าหมายหลัก แต่ด้านการตัดสินใจเริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยมีเงื่อนไขซับซ้อนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเน้นความคุ้มค่าและความหลากหลาย เช่นเดียวกับการเลือก

ร้านที่มีพนักงานสื่อสารภาษาจีนได้ รวมไปถึงมีความเชื่อว่าแต่ละประเทศมีสินค้าเด่นของตนเอง เช่น แฟชั่นไฮสตรีตต้องซื้อที่อังกฤษ แต่ถ้าเป็นกระเป๋าถือต้องไปที่อิตาลี และเสื้อผ้าหรูต้องไปฝรั่งเศส เป็นต้น ถือเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการค้าปลีกในแต่ละประเทศต้องปรับตัวตามให้ทัน

หลังจากนี้ต้องรอดูกันว่าประเทศไหนและกลเม็ดแบบใดจะสามารถเก็บเกี่ยวเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวได้มากกว่ากัน