“นีโอฯ” รุกออนไลน์เร่งปั๊มยอด ปูพรมสินค้าใหม่-อัดโปรยาวรับปลายปี

“นีโอ คอร์ปอเรท” เปิดเกมรุกช่วงโค้งท้ายปลายปี ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ “บีไนซ์-ดีนี่คิดส์” เจาะตลาด ชูจุดขายด้านนวัตกรรม ราคาเข้าถึงง่าย รองรับกำลังซื้อผู้บริโภคยุคโควิด-19 ประกาศทุ่มงบฯทำการตลาด 360 องศา ครอบคลุมทุกช่องทางขาย พร้อมเปิดตัวเว็บไซต์รุกตลาดออนไลน์ ดีเดย์ไตรมาส 4 มั่นใจสิ้นปียอดขายโต 10%

นางสาวปัทมา ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค ภายใต้แบรนด์ ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์ ฯลฯ เปิดเผยว่า ภาพรวมบริษัทในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มียอดขายเติบโต 1.3% โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเติบโต 7.7% ซึ่งแบ่งเป็น แบรนด์บีไนซ์โต 19% ครีมอาบน้ำทรอสโต 58% และครีมอาบน้ำสำหรับเด็กดีนี่โต 33% เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน รวมถึงการพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานเข้าสู่ตลาด ควบคู่กับการจัดแคมเปญสื่อสารการตลาด เพื่อกระจายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภค ทั้งช่องทางเทรดิชั่นนอลเทรด โมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ และช่องทางออนไลน์ แพลตฟอร์มต่าง ๆ ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ อาทิ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าไฟน์ไลน์, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย บีไนซ์ และดีนี่ และทรอส เป็นต้น โดยครีมอาบน้ำเป็นอีกเซ็กเมนต์หนึ่งที่เติบโตเร็วมาก

สอดคล้องกับภาพรวมสินค้ากลุ่มสบู่เหลว มีมูลค่าตลาดกว่า 7,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ตลาดครีมอาบน้ำสำหรับผู้ใหญ่ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ครีมอาบน้ำเด็ก 1,400 ล้านบาท โดยบริษัทสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 17.6%

สำหรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานจากนี้ บริษัทจะมุ่งกลยุทธ์การทำตลาด ประกอบไปด้วย การพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อาทิ ครีมอาบน้ำบีไนซ์ เลิฟ มี พีช ซีรีส์ ที่จะเป็นจุดขายในไตรมาส 4 ควบคู่กับการจัดกิจกรรมทางการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพและความงาม ส่วนผลิตภัณฑ์เด็กดีนี่คิดส์ เตรียมออกคอลเล็กชั่นพิเศษ “ดีนี่คิดส์ โฟรเซ่น” คอลเล็กชั่น 2 ในรูปแบบของการนำแคแร็กเตอร์การ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่าง โฟรเซ่น มาอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นสบู่เหลว แป้ง โลชั่นกันแดด พร้อมกับมีของแถมให้ได้สะสม

“การที่จะออกสินค้าใหม่ ๆ ได้ โดยหลักจะต้องมาจากการทำวิจัยศึกษาตลาดกับคอนซูเมอร์ เพื่อนำข้อมูลความต้องการของผู้บริโภคมาพัฒนาสินค้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งแต่ละปีต้องทำการวิจัยมากกว่า 200 งานวิจัย เพื่อสำรวจเทรนด์การตลาดใหม่ เพราะปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างเร็ว ขณะเดียวกันก็จะมีการเพิ่มนวัตกรรมเข้าไปในสินค้าเพื่อให้เป็นสูตรเฉพาะของบริษัท”

นางสาวปัทมากล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการตั้งราคาจำหน่ายที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 พร้อมกระจายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการรับวิถีนิวนอร์มอลที่พฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ โดยไตรมาส 4 บริษัทเตรียมจะเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพื่อรุกตลาดออนไลน์มากขึ้น จากเดิมจะขายผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ “DealDD Shop” และพบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากยอดขายที่เติบโต 133% พร้อมเพิ่มงบฯการทำตลาด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านสื่อครบวงจร 360 องศา ทั้งสื่อออฟไลน์ และออนไลน์ เช่น สื่อโฆษณานอกบ้านที่เป็นป้ายบิลบอร์ดย่านใจกลางกรุงเทพฯ จนถึงปลายปี และสื่อออนไลน์ทุกช่องทาง ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูบ และทวิตเตอร์ เป็นต้น

ด้านตลาดต่างประเทศ นางสาวปัทมากล่าวว่า ปัจจุบันได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ผ่านตัวแทนจำหน่ายไปประมาณ 8 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา มัลดีฟส์ อิรัก และจีนทางตอนใต้ สินค้าหลัก ๆ ที่ส่งออกไปส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก และผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า นอกจากนี้ยังมีแผนขยายการส่งออกไปประเทศแถบยุโรป ออสเตรเลีย และอินเดีย เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะอินเดียนั้นถือเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพค่อนข้างสูง คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น


อย่างไรก็ตาม วิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับตัวหันมารุกช่องทางออนไลน์ และปรับช่องทางขายสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ และยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรองรับการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัล หรือ digital transformation และจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ในครึ่งปีหลัง เชื่อมั่นว่าบริษัทจะสร้างรายได้เติบโต 10%