“สเนลไวท์” เข้าตลาดระดมทุน เพิ่มกำลังผลิตเครื่องสำอางป้อนต่างประเทศ

“สเนลไวท์” จ่อเข้าตลาดระดมทุน อัพไซซ์โรงงานผลิต หวังรุกหนักเครื่องสำอางไทย-เอเชีย ชี้ “จีน” โอกาสสำคัญ เร่งเพิ่มสัดส่วนยอดขายแตะ 50% รับตลาด 1 ล้านล้าน โตลิ่ว 16.5% ก่อนมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง พร้อมส่งไซซ์เล็ก-ซาเช่ เพิ่มโอกาสทดลองใช้ ขยายโอกาสเข้าถึงแบรนด์

ดร.สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สเนลไวท์ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทเข้ามารุกตลาดสกินแคร์ในปี 2556 ด้วยการเปิดตัวแบรนด์สเนลไวท์ โดยใช้สารสกัดหลักจากเมือกหอยทาก และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค จึงต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ครีมกันแดด ครีมอาบน้ำ และกิฟต์เซต ครอบคลุมทั้งหมด 8 แคทิกอรี่ จนทำให้รายได้เติบโตจาก 438 ล้านบาท ในปี 2557 เป็น 1,202 ล้านบาท

ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังคงมองเห็นโอกาสและช่องว่างอีกมาก ในตลาดความงามของไทย ตลอดจนในภูมิภาคเอเชีย จึงต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมกับระดมทุน เพื่อนำไปขยายโรงงานผลิต ช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ยกระดับศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท โดยคาดว่าจะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 76 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 24% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในบริษัทและอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ แบรนด์ใหม่ เพื่อมาต่อยอดการเติบโตของสเนลไวท์ ซึ่งมีโพซิชั่นอยู่ในตลาดสกินแคร์แบบพรีเมี่ยมแมส หรือกลุ่มที่มีระดับราคาอยู่ประมาณ 800 บาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 2,000 บาทต่อชิ้น ซึ่งอาจเป็นสินค้าความงามที่เจาะทั้งตลาดพรีเมี่ยมและตลาดแมส เพื่อสร้างการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคให้หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด

พร้อมกับการเพิ่มไซซ์ของผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ได้ในทุกโอกาส โดยเฉพาะไซซ์เล็ก 30 มล. หรือซองแบบซาเช่ เพื่อทำให้มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจ และเอื้อต่อการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะนำไปสู่การซื้อซ้ำและกลายเป็นฐานลูกค้าประจำในระยะต่อไป ผ่านช่องทางจำหน่ายกว่า 10,000 ร้านค้า ในเทรดิชันนอลเทรด โมเดิร์นเทรด และตัวแทนจำหน่าย

“เรากำลังก้าวเข้าสู่ Aging Society ทำให้เราสามารถขยายตลาดผ่านการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมความต้องการมากขึ้น เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและชะลอวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายที่หันมาดูรูปลักษณ์ตัวเองมากขึ้น ตลอดจนการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าอย่างไร้พรมแดน”

สำหรับตลาดต่างประเทศจะเน้นการขยายช่องทางจำหน่ายไปยังจีนมากขึ้น เนื่องจากจีนมีขนาดของตลาดเครื่องสำอางใหญ่กว่า 1 ล้านล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 16.5% ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก คาดว่าในอนาคตรายได้จากต่างประเทศและจีนจะขยับขึ้นมามีสัดส่วนรายได้ถึง 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนคิดเป็น 35% ส่วนรายได้รวมของบริษัทในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 872 ล้านบาท เติบโต 24.1% จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา และมีรายได้จากต่างประเทศ 332 ล้านบาท เติบโตขึ้นจาก 72 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา