ช่อง 3 เข้มคุณภาพ “ละคร-ข่าว-วาไรตี้” โกยเม็ดเงินโฆษณา

ผ่าแผนช่อง 3 ประกาศชู “ละคร-ข่าว-วาไรตี้” นำทัพโกยเม็ดเงินโฆษณา ชูโมเดล “Single content multiple platform 1 คอนเทนต์หลากช่องทาง” สร้างรายได้ มั่นใจอนาคตใส พร้อมต่อยอดคอนเทนต์เดินหน้าส่งละครไทยโกอินเตอร์ฯ เจาะตลาดเกาหลี-ญี่ปุ่น หลังตลาดจีน-อาเซียนฐานแน่น

นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทประสบกับภาวะขาดทุน จากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การระบาดของโควิด-19 แต่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของบริษัทเริ่มมีผลกำไรมากขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง ประกอบการบริษัทมีการปรับองค์กร ทั้งการปรับโครงสร้างพนักงาน การลดต้นทุน (ค่าใช้จ่าย) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และจากนี้ไป บริษัทจะเดินหน้าแผนเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้น

ขณะนี้แม้ว่าจะยังไม่มีการประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจน แต่หากไม่มีปัจจัยลบ อาทิ โควิด-19 กลับมาระบาดรอบใหม่, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ, สภาพเศรษฐกิจโลก, เสถียรภาพทางการเมือง เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ เชื่อแน่ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมทีวีและอื่น ๆ น่าจะดีขึ้น

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นฐานผู้ชมให้กลับมาอีกครั้ง ภายใต้แนวคิด Single content multiple platform ที่จะใช้ 1 คอนเทนต์ต่อการออกอากาศในหลากหลายช่องทาง ผ่านการร่วมมือกับผู้จัดและพาร์ตเนอร์ที่หลากหลายในการพัฒนาคอนเทนต์เพื่อตอบโจทย์ผู้ชมในแต่ละช่องทาง ผ่านแพลตฟอร์ม 3Plus

“เดิมเราใช้ต้นทุน 1 คอนเทนต์ต่อหนึ่งช่องทางการออกอากาศ (ไม่นับรายการรีรัน) แต่หลังจากที่มีการนำแนวคิด Single content multiple platform ผ่านแพลตฟอร์ม 3Plus เข้ามาใช้ ด้วยการให้ 1 คอนเทนต์ออกอากาศได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเลต และทีวี ที่สามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทุกกลุ่ม เพื่อสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น” นายสุรินทร์กล่าวและว่า

โดยจะโฟกัสใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ละคร ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักและสร้างรายได้ให้ช่องมากที่สุด โดยจะมีเปิดตัวละครใหม่ 30-40 เรื่องต่อปี 2.ข่าว จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ผู้ประกาศ ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทั้งในช่วงข่าวเช้า สาย บ่าย เที่ยง และเย็น ซึ่งหลังจากการปรับแผนงานใหม่ มั่นใจว่าจะสามารถสร้างปรากฏการณ์ได้อีกครั้ง 3.วาไรตี้ มองหาการต่อยอดความสำเร็จจากกลุ่มวาไรตี้เดิมที่มีฐานผู้ชมที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น ศึก 12 ราศี, 3 แซ่บ และตีท้ายครัว เป็นต้น ด้วยรูปแบบรายการใหม่ที่แปลกและแตกต่าง

“จากแนวโน้มเม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณาที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง การพัฒาคอนเทนต์ที่บริษัทให้ความสำคัญ จะเป็นหนึ่งแผนงานในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าในเรื่องของเม็ดเงินโฆษณา ต้องยอมรับการโฆษณาหรือเม็ดเงินโฆษณาที่เข้ามา ผู้ประกอบการไม่ได้เลิกใช้งบฯ แต่จะเลือกใช้มากขึ้น ดังนั้นจะทำอย่างไรให้เม็ดเงินโฆษณานั้นมาอยู่ที่เรา หรือไม่ตัดงบฯโฆษณาของเรา ก็คือเรื่องของคอนเทนต์คุณภาพ และรูปแบบรายการที่เสริมภาพลักษณ์ของสินค้าให้ดูดีเข้ามาเป็นตัวเชื่อม”

นายสุรินทร์กล่าวว่า นอกจากนี้ก็ยังจะให้ความสำคัญกับธุรกิจขายลิขสิทธิ์ละครไปยังต่างประเทศ (global content licensing) มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตและทำรายได้ได้ดี หลังจากละครหลายเรื่องประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี อาทิ ละครร้อยเล่ห์มารยา ฯลฯ โดยจะมองหาโอกาสในการทำตลาดใหม่ ๆ เพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี จากปัจจุบันที่มีจีนและอาเซียนเป็นตลาดหลัก ซึ่งรูปแบบการขายลิขสิทธิ์ละครจะเป็นทั้งออกอากาศสดพร้อมประเทศไทย และละครเก่า จากปัจจุบันกลุ่มธุรกิจนี้มีสัดส่วน 20% ของรายได้ และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 25% ในปี 2564

อย่างไรก็ตาม แม้ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 3 จะสามารถทำกำไรได้ แต่ภาพรวมตลอดทั้งปี 2563 น่าจะยังคงติดลบอยู่ โดยในปี 2564 วางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ตัวเลข 2 หลัก ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของรายได้จากกลุ่มธุรกิจนิวมีเดีย และธุรกิจขายลิขสิทธิ์ละครไปยังต่างประเทศ

“เราผ่านจุดต่ำสุดมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่บริษัทประสบภาวะขาดทุน และไตรมาส 3 เริ่มทำผลกำไรได้ ซึ่งแนวโน้มของบริษัทจากนี้คาดว่าจะสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564” นายสุรินทร์กล่าว