“ยูนิลีเวอร์” พลิกเกมสู้โควิด ทุ่มลงทุน-ขนสินค้าใหม่บุก

ยักษ์คอนซูเมอร์ “ยูนิลีเวอร์” ไม่หวั่นโควิด-19 กางแผนเดินหน้าลงทุนในไทย เพิ่มงบฯการตลาด งัดกลยุทธ์ลดราคาปลุกจับจ่าย ขนทัพแบรนด์ดังในอดีตนำกลับมาทำตลาดใหม่ “ไลฟ์บอย-เวียนเน็ตต้า” หวังตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคเปลี่ยน หนุนผลประกอบการดีดกลับ-สินค้ากลุ่มอาหารโตดับเบิลดิจิต ย้ำประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่มีความสำคัญและประสบผลสำเร็จในแง่ของยอดขาย มั่นใจโค้งสุดท้ายตัวเลขดีขึ้นต่อเนื่อง

นายโรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยและอาเซียน ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ อาทิ ผงซักฟอกบรีส, แชมพูสระผม-ครีมนวด ซันซิล, โดฟ, เคลียร์ สบู่ลักส์, วาสลีน เครื่องดื่มชาลิปตัน, แยมเบสท์ฟู้ด, ไอศกรีมวอลล์ ฯลฯ เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกในสินค้าบางกลุ่มมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสุขอนามัยและสุขภาพ

รวมไปถึงกลุ่มอาหารบางรายการ เนื่องจากผู้บริโภคใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น และเลือกที่จะทำอาหารรับประทานกันเองมากกว่าเดิม โดยแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทจากนี้ไปจะมีการปรับแผนงานในบางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ดังกล่าว โดยจะมีการเพิ่มงบประมาณด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด Growing Together ที่บริษัทเคยวางนโยบายไว้ แต่ต้องมีการปรับแผนงานให้ใหญ่ขึ้น มั่นคงขึ้น ตามสถานการณ์

ปัจจุบันประชาชนทั่วไปมองหาความคุ้มค่าคุ้มราคามากขึ้นในการจับจ่าย ขณะที่กลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมมองหาความพิเศษในตัวผลิตภัณฑ์ซึ่งสินค้าของบริษัทมีครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย แต่จะทำอย่างไรให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยมากที่สุด โดยบริษัทต้องการเป็นสินค้าที่ติด 1 ใน 3 ของแต่ละแคทิกอรี่ที่มีการทำตลาดอยู่ และมีประชาชนใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์ 3 ครั้งต่อวัน

ขณะเดียวกัน บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและช่องทางการสื่อสารให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากลูกค้ามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดราคาสินค้าลง การนำสินค้าที่เคยได้รับความนิยมในอดีตกลับมาทำตลาดใหม่ เพื่อสร้างการเข้าถึงในทุกกลุ่มเป้าหมายช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว ควบคู่กับการต่อยอดและนำสินค้าใหม่ในกลุ่มที่มีศักยภาพกลับมาทำตลาดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผงซักฟอก, โลชั่น, สเปรย์ และสินค้าเพื่อสุขอนามัย ฯลฯ

“ในสภาวะแบบนี้มองว่าเศรษฐกิจต้องการการลงทุนมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตและฟื้นจากปัจจัยลบต่าง ๆ ซึ่งแม้หลายบริษัทจะชะลอการลงทุนลง แต่ทว่าในส่วนของบริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาทั้งในส่วนของเม็ดเงินโฆษณาต่าง ๆ รวมไปถึงการลงทุนด้านสินค้าใหม่ ๆ ในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค รวมไปถึงสินค้าเพื่อสุขอนามัยในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา”

ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการนำแบรนด์ “ไลฟ์บอย” (Lifebuoy) และไอศกรีมเวียนเน็ตต้า (Viennetta) ที่เคยรับความนิยมมากเมื่อช่วงสักประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังได้แตกไลน์ไอศกรีมแม็กนั่มขนาดใหญ่ออกมาทำตลาด หลังการระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไป โดยหันมานิยมสินค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการรับประทานในบ้านมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ หลังการระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศไทยหายไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายในช่วงไตรมาส 2 ของบริษัทอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มไอศกรีมที่มียอดขายลดลงเป็นอย่างมาก

สำหรับแบรนด์ไลฟ์บอย ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการปรับตัวในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโต เป็นสินค้าในกลุ่มสุขอนามัยที่ตอบโจทย์ความต้องการในยุคนี้ ซึ่งเดิมทีบริษัทไม่ได้วางแผนจะนำกลับมาทำตลาดใหม่ แต่เนื่องจากศักยภาพที่ตอบโจทย์เรื่องสุขอนามัย จึงนำกลับมาทำตลาดอีกครั้ง ส่วนการนำไอศกรีมเวียนเน็ตต้า (Viennetta) กลับมาทำตลาดนั้น หลัก ๆ เป็นการนำมาเสริมทัพไอศกรีมวอลล์ ที่มีการสร้างการจ้างงานผ่านโครงการ Wall’s man (พี่ติมวอลล์) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ยอดขายสินค้ากลุ่มนี้กลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 และ 4

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแพร่ระบาดของโควิดจะทำให้มีความท้าทายและความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ โดยในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ค่อนข้างเหนื่อยแทบทุกธุรกิจ แต่ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/2563 ต้องยอมรับว่าสินค้าบางกลุ่มได้รับอานิสงส์จากโควิด และทำให้มีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปี โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ ผลประกอบการของบริษัทเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เริ่มคลี่คลาย โดยยูนิลีเวอร์ประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งตลาดหลักในโลกของบริษัทที่มีความสำคัญและประสบผลสำเร็จในแง่ของยอดขาย

“ช่วงที่ผ่านมาตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (fast moving consumer goods-FMCG) โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหาร อาทิ ขนมปัง เนย หรือกลุ่มแยมต่าง ๆ มีการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น นิยมทำอาหารรับประทานเองมากขึ้น ซึ่งแม้ประเทศไทยจะประสบปัญหาการระบาดเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ก็ยังสามารถดำเนินงานในหลายภาคส่วนได้ ซึ่งต่างจากหลาย ๆ ประเทศ ทำให้บริษัทยังคงเชื่อมั่นและเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง แน่นอนว่าหากไม่มีปัจจัยลบเรื่องการระบาดระลอก 2 ในประเทศไทย เชื่อว่าภาพรวมตลาดในปีหน้าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นแน่นอน” นายโรเบิร์ต แคนเดลิโน กล่าว