แอลจีเพิ่มดีกรีรุกตลาดแอร์ ลั่นโกยส่วนแบ่งดับเบิลดิจิต

แอลจีประกาศรุกหนักตลาดแอร์ หวังชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างน้อย 10% ทั้งอัดงบฯการตลาดเพิ่ม ขยายช่องทางเจาะโมเดิร์นเทรดทุกเชน-สาขา พร้อมแผนสำรองรับมือสถานการณ์โควิดหากมีล็อกดาวน์ ทั้งสตูดิโอ-ทีมผลิตคอนเทนต์การตลาดออนไลน์ มั่นใจปีนี้ยอดขายเติบโตระดับเลข 2 หลักทุกกลุ่มสินค้า

นายอำนาจ สิงหจันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์หมวดภาพและเสียง เครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยทิศทางในปี 2564 กับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปีนี้ความต้องการสินค้าไซซ์ใหญ่น่าจะยังเป็นหนึ่งในเทรนด์หลักของตลาด ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็นขนาด 14 คิวขึ้นไป หรือเครื่องซัก-อบผ้าขนาดใหญ่กว่า 13 กิโลกรัม รวมไปถึงทีวี 65 นิ้วขึ้นไป เช่นเดียวกับฟังก์ชั่นด้านสุขภาพและความสะอาด เช่น การกรองอากาศ และอื่น ๆ เนื่องจากสภาพนิวนอร์มอลที่ผู้บริโภคต้องอยู่บ้านและสนใจความสะอาดมากขึ้น

ทำให้เกิดความต้องการอุปกรณ์สำหรับการเก็บอาหารในปริมาณมากขึ้น ต่อเนื่องจากช่วงปี 2563 ซึ่งหลายครัวเรือนเริ่มซื้อตู้เย็นเครื่องที่ 2 ขณะเดียวกัน ก็มีการซักผ้าบ่อย-ปริมาณมากขึ้น เพื่อรักษาความสะอาด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีบริษัทจะมุ่งผลักดันตลาดกลุ่มเครื่องปรับอากาศแบบเข้มข้น ซึ่งนอกจากจะเป็นช่วงหน้าขายสำคัญแล้ว ยังวางเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้เติบโตจาก 8% ขึ้นมาเป็นระดับเลข 2 หลัก หลังปีที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าเพียงกลุ่มเดียวของบริษัทที่ส่วนแบ่งการตลาดยังต่ำกว่า 10% ขณะที่กลุ่มสินค้าอื่น ๆ อยู่ในระดับเลข 2 หลักทั้งหมดแล้ว

โดยเตรียมเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในเดือนมกราคม ซึ่งจะมีไลน์อัพใหม่ที่เน้นจุดขายด้านฟังก์ชั่นสุขภาพเพิ่มเข้ามาเพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่สนใจสุขภาพมากขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยกลุ่มทีวีในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน หากปีนี้มีการแข่งขันฟุตบอลยูโรอาจจะมีแคมเปญพิเศษอย่างลุ้นแจกตั๋วเข้าชม กล่องลายพิเศษ ร่วมกับการนำสินค้าเครื่องเสียงที่เปิดตัวช่วงปลายปีที่แล้วเข้ามาหนุนด้วยการใช้เป็นของแถมหรือแลกซื้อ ก่อนจะเปิดตัวเครื่องซักผ้าในช่วงหน้าฝน ทั้งนี้ ไลน์อัพสินค้าปีนี้ทุกกลุ่มจะเน้นการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีฟังก์ชั่นสมาร์ทและฟังก์ชั่นสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

ด้านการตลาดบริษัทเพิ่มงบฯมากเป็นพิเศษ และจะใช้กลยุทธ์การตลาดที่เข้มข้นขึ้นกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา เพื่อสร้างการรับรู้และยอดขายเครื่องปรับอากาศในกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางไปจนถึงระดับบนที่ยังคงมีกำลังซื้ออยู่ โดยนอกจากการสื่อสารและทำโปรโมชั่นในช่วงหน้าขายแล้ว ยังเดินหน้าเพิ่มช่องทางขายในเชนค้าปลีกรายใหญ่ให้ครบทุกสาขา และเพิ่มจำนวนพนักงานขายในสาขาเดิม โดยส่งลงพื้นที่ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมาจนถึงพฤษภาคมปีนี้ สนับสนุนการขายทั้งเครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ

นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนสำรองหรือแผน B สำหรับรับมือกรณีมีการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยการหันมาเน้นการโปรโมตสินค้าและกระตุ้นการซื้อผ่านออนไลน์ ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างลาซาด้า และเจดี เซ็นทรัล รวมถึงการทำออมนิแชนเนลร่วมกับโมเดิร์นเทรด อาทิ เพาเวอร์บาย, โฮมโปร, เทสโก้ โลตัส เป็นต้น ทดแทนการทำตลาดแบบออฟไลน์ตามปกติ อาศัยสตูดิโอ ทีมไลฟ์สตรีม และทีมผลิตคอนเทนต์ที่บริษัทลงทุนก่อตั้งเมื่อปี 2563 เพื่อรับมือมาตรการล็อกดาวน์ และเทรนด์อีคอมเมิร์ซ

มาสร้างคอนเทนต์โปรโมตสินค้าลงในช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขายให้กับร้านโมเดิร์นเทรด ขณะที่ร้านเทรดิชั่นนอลเทรดหรือร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปนั้นจะสนับสนุนเพิ่มเติมด้วยสื่อโฆษณาต่าง ๆ รวมถึงของแถม-ของพรีเมี่ยมเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์คลี่คลายก็พร้อมกลับมาใช้แผนการตลาดแบบปกติ ไม่ว่าจะเป็นการโรดโชว์ไปจัดกิจกรรมหน้าร้านค้า การใช้รถแห่ แจกใบปลิว เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลดีในตลาดต่างจังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ขายสำคัญของเครื่องปรับอากาศ

“ด้วยยุทธศาสตร์การทำตลาดเครื่องปรับอากาศในช่วงหน้าร้อน และสินค้าอื่น ๆ ที่จะเปิดตัวตามออกมาตลอดทั้งปี 2564 นี้ จะช่วยให้ยอดขายสามารถเติบโตในระดับเลข 2 หลักได้ทุกกลุ่มสินค้าตามเป้าที่วางไว้ และเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2563 ซึ่งมีการเติบโตในทุกกลุ่มสินค้าเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับเลขหลักเดียว ยกเว้นเพียงเครื่องปรับอากาศที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ช่วงหน้าร้อนปี 2563 แต่ในส่วนแบ่งการตลาดนั้นเพิ่มขึ้นในหลายกลุ่ม เช่น ตู้เย็น เพิ่มจาก 6% เป็น 12% และเครื่องซักผ้า เพิ่มเป็น 36-37%” นายอำนาจกล่าว