เทรนด์ธุรกิจบันเทิงแรง “มินิโซ” ขอเอี่ยวร้านของเล่น

มินิโซ
Market Move

ปัจจุบันเป็นที่ชัดเจนว่า มาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 อีกด้านหนึ่งก็ได้กระตุ้นความต้องการสินค้าบางกลุ่มให้เติบโตสูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มความบันเทิงอย่างภาพยนตร์ เกม และของเล่น

สะท้อนจากทั้งความนิยมเกมแอนิมอลครอสซิ่งและเครื่องเกมนินเทนโดสวิตช์ในช่วงต้นของการระบาด ยอดสมาชิกของสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่อย่างเน็ตฟลิกซ์ ที่เพิ่มขึ้น 25 ล้านบัญชี ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ขณะที่ผู้บริหารใหญ่ของ “แมตเทล” ยักษ์ของเล่นเจ้าของลิขสิทธิ์ตุ๊กตาบาร์บี้ ระบุว่า ดีมานด์ช่วงโค้งท้ายของปีที่แล้วสูงเป็นประวัติการณ์

ด้วยเทรนด์นี้ทำให้หลายธุรกิจเริ่มหันมาสนใจขอมีส่วนร่วมกับกระแสด้วยการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าด้านความบันเทิงบ้าง หนึ่งในนั้นคือ มินิโซ ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติจีน ที่เคยสร้างปรากฏการณ์การขยายสาขาอย่างรวดเร็วใน 80 ประเทศรวมถึงไทย

สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า มินิโซได้ประกาศขยายไลน์ธุรกิจ เพิ่มร้านของเล่น “ท็อปทอย” (TOPTOY) เข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ หวังดึงดูดกลุ่มวัยรุ่นและครอบครัว รวมถึงพัฒนาโมเดลธุรกิจไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีก โดยเปิดสาขาทดลองที่กว่างโจวเมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ใช้พื้นที่ร้านขนาด 420 ตร.ม. มีสินค้า 1,500 รายการ ประกอบด้วยของเล่นลิขสิทธิ์ และกล่องสุ่มที่ผู้ซื้อจะไม่รู้ว่าของข้างในเป็นอะไร ปัจจุบันในจีนมีร้านท็อปทอยทั้ง 7 สาขาแล้ว

“เย่ กั๋วฟู่” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของมินิโซ กล่าวถึงแนวคิดของการแตกไลน์ธุรกิจครั้งนี้ว่าบริษัทต้องการเพิ่มความหลากหลายของฐานลูกค้า และช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาของเล่นเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตรวดเร็วทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ จึงวางแผนเปิดแบรนด์ใหม่นี้มาตั้งแต่ช่วงปี 2562 โดยโฟกัสไปที่การใช้ของเล่นดึงกลุ่มครอบครัวที่มีลูกเล็ก และเด็กวัยรุ่นเข้ามาเพิ่ม

พร้อมฉายภาพการขยายสาขาของทั้งมินิโซและท็อปทอยหลังจากนี้ว่า ในตลาดต่างประเทศจะเน้นขยายสาขาในประเทศที่มีประชากรอย่างน้อย 50 ล้านคน โดยมีอินเดีย, อินโดนีเซีย, สหรัฐอเมริกา, โคลอมเบีย, เม็กซิโก, อียิปต์ และสเปน ส่วนในจีนจะเริ่มรุกพื้นที่ต่างจังหวัด

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารมินิโซปฏิเสธที่จะเปิดเผยเป้าจำนวนสาขาในปี 2564 และในอนาคต โดยให้เหตุผลว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คาดการณ์อนาคตได้ยาก

สอดคล้องกับสถานการณ์การขยายสาขาในปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมินิโซขยายสาขาได้เพียง 119 สาขา เมื่อหักลบสาขาที่ปิดแล้วตั้งแต่ปลายปี 2562-กันยายน 2564 ในจีนมีสาขาเพิ่มขึ้นเพียง 90 สาขา ส่วนในต่างประเทศมีสาขาเพิ่มขึ้น 29 สาขาเท่านั้น

รวมถึงต้องถอนตัวออกจากประเทศเยอรมนี ตรงข้ามกับการขยายตัวในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่เริ่มธุรกิจเมื่อปี 2556 เชนร้านสินค้าไลฟ์สไตล์รายนี้ปักธงสาขาไปแล้ว 80 ประเทศ แบ่งเป็น 2,633 สาขาในจีน และอีก 1,697 สาขาในต่างประเทศ

ขณะเดียวกันการแข่งขันกับเชนร้านสินค้าไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ยังเป็นอีกความท้าทาย โดย “เดวี สุวาเคสาน” นักวิเคราะห์ของบริษัทวิจัย อินเวสต์สตอรี่ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมามีร้านค้าที่ภาพลักษณ์และไลน์อัพสินค้าคล้ายกับมินิโซผุดขึ้นในห้างสรรพสินค้าทั่วเอเชียกลายเป็นโจทย์ที่มินิโซจะต้องหาทางรับมือ มิเช่นนั้นอาจจะเสียฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่อาจมีกำลังซื้อไม่มากนัก แต่ต้องการความแปลกและแตกต่าง

ต้องติดตามดูกันว่า การขยายฐานไปยังกลุ่มครอบครัว-วัยรุ่นในครั้งนี้หนุนการขยายสาขาของยักษ์ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ได้หรือไม่ และมินิโซจะมีกลยุทธ์รับมือกับคู่แข่งอย่างไร