ยักษ์เบียร์ญี่ปุ่น ไม่หวั่นรัฐประหาร มั่นใจรายได้จากเมียนมาปีนี้พุ่ง 15%

แม้ “คิริน” ยักษ์เครื่องดื่มสัญชาติญี่ปุ่นจะประกาศล้มดีลร่วมทุนกับรัฐบาลพม่าไปเมื่อช่วงต้นเดือน แต่ยังเชื่อมั่นว่า ธุรกิจในเมียนมาจะยังสร้างกำไรได้ พร้อมเตรียมหาพันธมิตรรายใหม่มาร่วมทุน

สำนักข่าว นิคเคอิ เอเชีย รายงานว่า คิริน หนึ่งในยักษ์เครื่องดื่มสัญชาติญี่ปุ่นได้เปิดเผยคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานจากธุรกิจในประเทศเมียนมาช่วงม.ค.-ธ.ค.2564 นี้ว่าจะสูงถึง 1.6 หมื่นล้านเยน (4.5 พันล้านบาท) เพิ่มจากปี 2563 ถึง 15.5% แม้ทางบริษัทจะเพิ่งประกาศล้มดีลร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นด้วยเหตุผลว่าคู่สัญญามีความเกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมา ไปเมื่อต้นเดือนก็ตาม

ในแถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า บริษัทอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบจากการรัฐประหาร และการยกเลิกดีลร่วมทุน อาทิ การถูกบอยคอตสินค้า อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าในระยะยาวธุรกิจจะสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ

“โยชิโนริ อิโซซากิ” ประธานของคิรินย้ำว่า บริษัทไม่เคยคิดถอนตัวออกจากตลาดเมียนมา และต้องการมีส่วนช่วยเหลือการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมาต่อไป แต่การกระทำของกองทัพเมียนมานั้นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการทำธุรกิจและนโยบายสิทธิมนุษยชนที่บริษัทยึดถือ จึงต้องยกเลิกดีลร่วมทุนกับ เมียนมา อีโคโนมิค โฮลดิ้งที่เป็นคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนสวัสดิการให้กับกองทัพเมียนมา

อย่างไรก็ตาม การยกเลิกสัญญาร่วมทุนนั้นเป็นเพียงการประกาศฝ่ายเดียว ยังไม่ได้รับการตอบสนองจาก เมียนมา อีโคโนมิค โฮลดิ้งที่เป็นคู่สัญญา จึงยังต้องรอผลการเจรจาอีกครั้ง และหากสามารถยกเลิกได้ บริษัทตั้งใจจะหาพันธมิตรรายใหม่ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมาแทน

“การจับกุม ออง ซาน ซูจี และการปิดกั้นการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต รวมถึงการกระทำอื่นๆ ของกองทัพเมียนมาในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่อาจมองข้ามได้เพราะขัดกับความต้องการของชาวเมียนมา”

ด้านักวิเคราะห์มองว่า เมียนมา อีโคโนมิค โฮลดิ้ง จะไม่ยอมตกลงยกเลิดดีลง่ายๆ แน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจกำลังเติบโตได้ดี ซึ่งหากไม่สามารถตกลงกันได้ผลลัพท์เลวร้ายที่สุด คือ คิริน อาจถูกบีบให้ถอนตัวจากตลาดเมียนมา

ทั้งนี้ คิริน รุกเข้าสู่ตลาดเมียนมาในปี 2558 ด้วยการซื้อกิจการเมียนมาบริวเวอร์รี่ จนปี 2563 สามารถครองส่วนแบ่งตลาดเบียร์เมียนมาถึง 80% เช่นเดียวกับผลประกอบการซึ่งปีที่แล้ว กำไรจากการดำเนินงานในเมียนมาเติบโต 7.2% และรายได้จากเมียนมาคิดเป็นสัดส่วน 8.5% ของรายได้รวมบริษัท