เมก้าฯลุยไม่ยั้งทุ่มขยายโรงงาน เทรนด์สุขภาพแรง-ตั้งเป้าโต 20%

โควิด-สูงวัย-ฝุ่นจิ๋ว หนุนตลาดยาและอาหารเสริม 2 แสนล้านดีมานด์พุ่ง “เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์” ลงทุนซื้อที่ดิน 10 ไร่ ขยายโรงงานรับการเติบโต เพิ่มกำลังผลิต 2 เท่า หรือปีละ 6,000 ล้านเม็ด คาดเสร็จภายในปลายปีนี้ พร้อมร่วมทุนซื้อโรงงานsเมียนมา-อินโดนีเซีย เสริมแกร่งการผลิต เตรียมส่งออกสินค้ากว่า 22 ประเทศทั่วโลก ตั้งเป้าผู้นำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ขยายธุรกิจบุกแอฟริกา เร่งแตกไลน์สินค้ายา-อาหารเสริมเข้าพอร์ต ลั่นปี’64 เติบโต 20%

ภญ.วิชชุลดา ผรณเกียรติ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ พีทีวาย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้แบรนด์ “เมก้า วีแคร์” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดยาและอาหารเสริมมูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น โดยมีปัจจัยบวกจากพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง 1-2 ปีนี้ เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ ตั้งแต่สถานการณ์ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 จนถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผนวกกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประชากรโลก

ทำให้เกิดโรคเรื้อรังและคนเจ็บป่วยมากยิ่งขึ้น จนนำมาสู่พฤติกรรมการรับประทานกลุ่มยาและอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงร่างกายเสริมภูมิคุ้มกันในด้านต่าง ๆ ช่วยส่งเสริมตลาดให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

โดยปี 2564 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20% จากปีที่ผ่านมายอดขายรวมโตขึ้นประมาณ 10% จากสินค้าบำรุงร่างกาย อาทิ วิตามินซี วิตามินบี ฯลฯ จากการมีสินค้าในพอร์ตโฟลิโอครอบคลุมการบำรุงร่างกายทุกหมวด รวมมากกว่า 80 ตัว หรือประมาณ 200-300 เอสเคยู สอดรับกับช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคได้สูง ทั้งพาร์ตเนอร์ที่ร้านขายยาและร้านค้าสินค้าสุขภาพค้าปลีกความงาม อาทิ บู๊ทส์ วัตสัน ราว 6,000 ร้านค้าทั่วประเทศ รวมไปถึงกำลังการผลิตของโรงงานที่มีสูงถึงปีละ 2,000 ล้านเม็ดหรือแคปซูล/ปี ทำให้มีสินค้าเพียงพอต่อดีมานด์ภายในประเทศและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับการเติบโตทั้งกลุ่มยาและอาหารเสริม และสร้างการเติบโตในระยะยาว บริษัทได้เพิ่มการลงทุน เพื่อขยายโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ โดยซื้อที่ดินเพิ่มในบริเวณใกล้เคียงกันประมาณ 10 ไร่ ซึ่งจะทำให้โรงงานมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า หรือเท่ากับ 6,000 ล้านเม็ดหรือแคปซูล/ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2564 นี้ รวมถึงก่อนหน้านี้ได้ลงทุนซื้อโรงงานที่อินโดนีเซีย ให้เป็นแหล่งผลิตยาเพิ่มเติม เพื่อส่งสินค้าไปทั่วเออีซี

นอกจากนี้ ได้มีการร่วมทุนซื้อโรงงานในประเทศเมียนมา ซึ่งตลาดมีโอกาสเติบโตสูงและทำยอดขายดีมาตลอดหลายปี แม้ช่วงนี้จะมีปัญหาด้านการเมือง แต่บริษัทน่าจะได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและยา เป็นปัจจัยสี่ซึ่งผู้บริโภคยังต้องใช้

พร้อมกันนี้ บริษัทยังแสวงหาโอกาส ด้วยเล็งการขยายสินค้าในไลน์ โดยอาจเพิ่มการผลิตยาในกลุ่มอื่น ๆ นอกจากกลุ่มยารักษาสำหรับทางเดินปัสสาวะ ควบคู่กับการขยายตลาดส่งออกไปต่างประเทศ จากเดิมมีการส่งออกครอบคลุม 22 ประเทศ อาทิ เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา โดยเน้นไปประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งมีโอกาสทำตลาดได้สูงกว่า แต่ช่วงนี้อาจชะลอไปก่อนจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ เป้าหมายหลักคือการเป็นผู้นำตลาดยาและอาหารเสริมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขยายธุรกิจในทวีปแอฟริกา

ส่วนด้านกลยุทธ์ทางการตลาดจะเน้นการขายในรูปแบบบีทูบี อาทิ ร้านยา ค้าปลีก และโรงพยาบาล โดยจะมีทีมขายเข้าไปให้ความรู้และดีลกับภาคธุรกิจโดยตรง เพื่อผลักดันสินค้าเข้าไปในหลายช่องทาง ร่วมกับการส่งเสริมการขายทางออนไลน์ โดยทำคอนเทนต์สร้างความรู้ให้แก่ผู้บริโภค และช่วยส่งเสริมการขายให้แก่คู่ค้าหรือพันธมิตรร้านยาต่าง ๆ ส่วนในต่างประเทศจะมีคันทรีเฮดในแต่ละประเทศคอยทำการตลาด เพื่อให้สอดรับกับวิธีคิดและวิถีชีวิตของคนแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ ด้านเวลเนสวีแคร์ ศูนย์การเรียนรู้และอบรมเรื่องการมีสุขภาพที่ดีก่อนป่วย เตรียมกลับมาเปิดประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ โดยตั้งโพซิชั่นเป็นศูนย์การเทรนนิ่งให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เช่น หมอ พยาบาล นักโภชนาการบำบัด เภสัชกร เป็นต้น ให้ช่วยกระจายคอนเซ็ปต์ทางเลือกสุขภาพที่ดี ผ่านการรับประทานอาหารและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยต่อไปจะมีคอร์สเจาะกลุ่มบุคคลทั่วไปที่รักสุขภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัท เมก้า ไลฟ์ ไซแอ็นซ์ฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 12,589 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 1,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 โดยการเติบโตดังกล่าวมาจากธุรกิจการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare ที่มีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care เติบโตขึ้นตามเป้าหมาย