“ซีเอ็มโอ” ทรานส์ฟอร์มธุรกิจลุยเทคคอมปะนีแก้อีเวนต์ซบ

“ซีเอ็มโอ” แก้เกมอีเวนต์ออนกราวน์ยอดวูบ เบนเข็มจัด “ดิจิทัล-ไฮบริดอีเวนต์” รับเทรนด์นิวนอร์มอล เล็งเจรจาโรงแรม 5 ดาว เปิดสตูดิโอสตรีมมิ่งใจกลางเมือง รองรับการจัดงานหลายรูปแบบ พร้อมเดินหน้าทรานส์ฟอร์มใหญ่เป็นเทคคอมปะนี ดึงศักยภาพเทคโนโลยีบริษัทในเครือช่วยเสริมแกร่งธุรกิจ ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด-ยอดขายรวมกลับมาแตะ 1,000 ล้าน

หากจะกล่าวถึงธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นต้องมีธุรกิจอีเวนต์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาทั้งงานใหญ่งานเล็กล้วนต้องถูกระงับไปแทบตลอดทั้งปี และแม้จะได้รับการผ่อนปรนให้สามารถจัดงานได้แต่ก็ถูกจำกัดและอยู่ภายใต้เงื่อนไขวิถีนิวนอร์มอล ที่ต้องเน้นการเว้นระยะห่าง การจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงาน ฯลฯ ทำให้มูลค่าตลาดอีเวนต์หดตัวลงกว่า 50% เหลือเพียง 14,000 ล้านบาท ทำให้ผู้ประกอบการอีเวนต์ต้องเร่งปรับตัวในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการพยายามทรานส์ฟอร์มตัวเองสู่ดิจิทัลเพื่อไปต่อในวันที่สภาวการณ์ไม่อำนวย

นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดครบวงจร ทั้งธุรกิจอีเวนต์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และไลฟ์สไตล์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันซีเอ็มโอได้ปรับตัวด้วยการมุ่งพัฒนาตนเองให้เป็นเทคคอมปะนี (tech company) อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด ที่ธุรกิจงานอีเวนต์ซบเซาและได้เริ่มปรับองค์กรเข้าสู่ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการปรับรูปแบบงานอีเวนต์ ลดสเกลงาน เข้าสู่ดิจิทัลอีเวนต์และไฮบริดอีเวนต์ ที่จำกัดจำนวนผู้ชม

นายเสริมคุณย้ำว่า ดิจิทัลอีเวนต์ไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดสด (live streaming) ผ่านทางออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการดึงเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการจัดงาน ทั้งเทคนิค augmented reality (AR), การออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟฟิก (CG), การทำ interactive media, ระบบการลงทะเบียนออนไลน์, ระบบ lucky draw, ระบบเลือกซื้อสินค้าแบบเรียลไทม์สำหรับคอนซูเมอร์อีเวนต์, virtual museum exhibition เทคโนโลยีแสดงนิทรรศการเสมือนจริงแบบ 360 องศา ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการนำเทคโนโลยีการแปลภาษาขณะถ่ายทอดสดที่มีความแม่นยำสูง และครอบคลุมหลายภาษาทั่วโลกมาใช้

รวมไปถึงการพัฒนาระบบคอนเสิร์ตออนไลน์ ให้เทียบเท่ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลี ซึ่งจะนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าช่วยในการจัดงาน ทั้งการนำกราฟฟิกมาใช้ และการพัฒนาระบบกล้องจับภาพศิลปินแบบแยกคนได้ ควบคู่กับระบบการเข้าชมเบื้องหลังสำหรับลูกค้าที่ชำระค่าบริการเพิ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าขีดความสามารถดิจิทัลเอ็นเตอร์เทนเมนต์จะมีความชัดเจนขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งที่ผ่านมาการเปิดตัวออนไลน์อีเวนต์หรือดิจิทัลอีเวนต์ได้ผลตอบรับดีมาก ๆ เนื่องจากสอดรับกับสถานการณ์การปรับตัวทำการตลาดของภาคธุรกิจ

“นอกจากนี้บริษัทยังจะพยายามดึงความสามารถของบริษัทในเครือมาใช้ประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่เทคคอมปะนีมากขึ้น ทั้งการดึงบริษัทลูก อาทิ บริษัท พีเอ็ม เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านระบบเสียง และซัพพลายอุปกรณ์การจัดคอนเสิร์ต, บริษัท ดิอายส์ จำกัด เข้ามาพัฒนาสื่อต่าง ๆ รวมไปถึงการทำเอฟเฟ็กต์ กราฟฟิก เสริมอีเวนต์ในรูปแบบดิจิทัล” นายเสริมคุณกล่าวและว่า

ทั้งนี้ คาดว่ารูปแบบอีเวนต์ในปีนี้หลัก ๆ ยังคงเป็นดิจิทัลอีเวนต์และไฮบริดอีเวนต์มากกว่า โดยตั้งแต่เปิดตัวมามีงานมากกว่า 100 งาน ทั้งงานเปิดตัวสินค้า, งานประชุมกับตัวแทนจำหน่าย, งานประชุมวิชาการนานาชาติ, งานสัมมนา, งานในกลุ่มธุรกิจบันเทิงและคอนเสิร์ต ตลอดจนงาน fan meeting ระหว่างศิลปินกับแฟนคลับ เป็นต้น และจากนี้ไปจะมีการจัดงานให้แก่กลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์โปรดักต์ กลุ่มสุขภาพและความงามต่าง ๆ ซึ่งจะมีงานต่อเนื่องมากกว่า 3-5 งาน/อาทิตย์

นายเสริมคุณกล่าวต่อไปว่า สำหรับการจัดอีเวนต์รูปแบบปกติบริษัทก็ยังไม่ทิ้งไป และใช้โอกาสในช่วงนี้พัฒนาต่อยอดหาสถานที่ใหม่ ๆ ทำสตูิโอสตรีมมิ่งใจกลางเมืองเพิ่มเติม เพื่อรองรับการจัดงานคอนเสิร์ต งานสัมมนา งานประชุม หรืองานเปิดตัวสินค้า ฯลฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงแรม 5 ดาว ย่านราชประสงค์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้สร้างสตูดิโอสตรีมมิ่ง 3 แห่ง เช่น ยูเนี่ยนมอลล์ ฮอลล์ใหญ่รองรับคนสูงสุด 2,000 คน และคาดว่าการจัดงานรูปแบบออนกราวนด์จะเริ่มกลับมาจัดงานได้ตามปกติในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เนื่องจากขณะนี้เกิดคลัสเตอร์การระบาดใหม่ ทำให้ลูกค้าจำนวนหนึ่งชะลอการจัดงานออกไปก่อน

ปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่มาช่วยในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้มากขึ้น จากเดิมมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 10% และตั้งเป้าสร้างยอดขายธุรกิจให้กลับมาแตะ 1,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามียอดขายรวม 717.95 ล้านบาท และมีผลประกอบการขาดทุน 133.15 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2562 ซึ่งมียอดขายเท่ากับ 1,338.10 ล้านบาท และมีผลประกอบการกำไร 105.50 ล้านบาท