พาว มิราเคิล จับมือพันธมิตร ต่อยอดสมุนไพรไทย-กัญชา-กัญชง ลุยตลาดเต็มสูบ

พาว มิราเคิล จับมือวิสาหกิจชุมชนบ้านแพม-ไทยสติ๊กเฮิร์บ-ซีเอ็มเอช เชียงใหม่ โฮลดิ้ง ต่อยอดสินค้าสมุนไพรไทย-กัญชา-กัญชง เจาะตลาดแมสไทย-เทศ ตั้งเป้า 64 โตแรง 30% รายได้เฉียด 100 ล้าน

นายอธิชาติ ชุมนานนท์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัทฝ่ายการตลาด บริษัท พาว มิราเคิล จำกัด สตาร์ทอัพผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสมุนไพรไทยภายใต้แบรนด์ พาว มิราเคิล เปิดเผยว่า การก่อตั้งแบรนด์พาว มิราเคิล เนื่องจาก เล็งเห็นศักยภาพของสมุนไพรไทย อาทิ พลูคาว ซึ่งมีสรรพคุณโดดเด่น ช่วยต่อต้านมะเร็ง บำบัดฟื้นฟูโรคความดันโลหิตสูง

ขณะที่พืชกัญชาและกัญชงเองก็เป็นพืชที่มีประโยชน์ด้านสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่อยู่ในกระแสความสนใจของผู้บริโภค พาว มิราเคิล ในฐานะแบรนด์ที่ชูจุดเด่นเรื่องสมุนไพรไทย จึงเล็งเห็นโอกาสในการนำพืชทั้งสองชนิดนี้มาต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์ 

เนื่องจากมองว่า ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพยังมีศักยภาพการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเทรนด์รักสุขภาพ ประกอบกับปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งจากการแพร่ระบาดโควิด ทำให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น” 

ทั้งนี้ พาว มิราเคิล ได้จับมือกับพันธมิตรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ คือ วิสาหกิจชุมชนบ้านทุ่งแพม ผู้ปลูกพืชกัญชาและกัญชง, บริษัท ไทยสติ๊ค เฮิร์บ จำกัด ผู้ผลิตสารสกัด CBD จากกัญชาและกัญชง และบริษัท ซีเอ็ม เอช เชียงใหม่ โฮลดิ้ง จำกัด โรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ให้แก่พาว มิราเคิล เพื่อส่งสมุนไพรไทยและกัญชา-กัญชงลุยตลาดสุขภาพเต็มรูปแบบ

โดยขณะนี้พาร์ตเนอร์ได้ทุ่มเงินกว่า 30 ล้าน สร้างโรงเรือนปลูก และเตรียมหน้าดินปลดสารเคมี ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวใช้เวลาเตรียมประมาณ 1 ปี และจะใช้เวลาปลูกพืชกัญชงหรือกัญชาอีกประมาณ 4 เดือน

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นบริษัทฯ ได้ลอนซ์ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยโดยมีตัวชูโรง คือ พลูคาว พืชท้องถิ่นภาคเหนือออกสู่ตลาด ราว 6 เดือน ได้รับผลตอบรับดี เฉพาะไตรมาสแรกเติบโตขึ้น 30%

“แม้แรกเริ่มสินค้าของบริษัทฯ จะเจาะกลุ่มผู้มีปัญหาสุขภาพ แต่จากการจัดจำหน่ายพบว่ามีกลุ่มลูกค้าอายุต่ำกว่า 30 ปี เป็นผู้บริโภคหลักมากกว่า ซึ่งสะท้อนสภาวะการตื่นตัวด้านสุขภาพได้อย่างเด่นชัด”

ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดจากนี้ไป จะใช้งบการตลาดราว 30-40% ของยอดขาย ส่งเสริมการขายทางออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และเจาะกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขึ้น 

พร้อมกับขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัทและของตัวแทนจำหน่ายสินค้า จากนั้นจึงค่อย ๆ กระจายสินค้าสู่โมเดิร์นเทรด อาทิ ร้านตำรับไทย กูร์เมต์มาร์เก็ต ต่อไป

โดยเริ่มจากการเจาะกลุ่มคนเมือง ทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่  ส่วนกลุ่มคนต่างจังหวัด จะสร้างการรับรู้แบรนด์และสร้างยอดขาย ผ่านการโฆษณาเสียงตามสายในเครือข่ายวิทยุชุมชน ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคในต่างจังหวัดได้ง่าย

ควบคู่กับการส่งสินค้าสมุนไพรไทยเจาะตลาดต่างประเทศ เน้นไปที่กลุ่มประเทศ CLMV เริ่มจากลาวและเวียดนาม ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตด้านเศรษฐกิจสูง 

นอกจากนี้ ได้เตรียมเจาะตลาดจีนเป็นลำดับต่อไป เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนมีความสนใจในสมุนไพรไทย และเป็นตลาดที่ใหญ่ด้วยจำนวนประชากรที่สูง ขณะนี้อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน อย. สินค้าในจีน

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนลอนซ์สินค้าที่มีส่วนผสมกัญชาและกัญชง โดยร่วมกับสถาบันวิจัยในระดับประเทศ วิจัยและส่งเสริมสมุนไพรไทยมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่  โดยเริ่มจากพืชกัญชงก่อน ได้แก่ 

1.สเปรย์ดับกลิ่นปากผสมกัญชง สร้างความสดชื่นและตื่นตัว 2.ที่ฉีดพ่นหมอนกัญชง ช่วยในเรื่องการผ่อนคลายและการนอนหลับ และ 3.อาหารเสริมกัญชงรูปแบบแคปซูล โดยจะลอนซ์สินค้าภายในไตรมาสที่ 2 นี้

ส่วนหลังไตรมาสที่ 3 ช่วงเดือนมิถุนายน 64 จะทำอาหารเสริมโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ผสมสาร CBD จากกัญชง โดยสินค้าที่มีส่วนผสมกัญชาหรือกัญชง ตั้งราคาไว้ที่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันต้น ๆ เนื่องจากต้องการเจาะกลุ่มตลาดแมส

“ทั้งนี้ ในปีแรกเราตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 30% และจากการลงตลาดในเบื้องต้น คาดว่ายอดขายในปี 64 น่าจะเกือบ 100 ล้านบาท”