ไทยเบฟฯ แนะผู้ประกอบการพัฒนาองค์ความรู้-เสริมทักษะ สร้างความยั่งยืนเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มโอกาสอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลกยุคหลังโควิด รับขั้วอำนาจเศรษฐกิจเปลี่ยนมือ
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนา “ปี 2021 ประเทศไทยไปต่อ” ในหัวข้อเสวนา “เศรษฐกิจไทยจะไปต่อได้อย่างไร” ที่ บมจ.มติชน จัดขึ้นวันที่ (25 มี.ค. 2564) ถึงแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจไทยนับจากนี้ว่า
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ออมสิน ฉลองครบวาระ 111 ปี จัดเต็ม สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท
ปัจจุบันโลกกำลังเข้าสู่ยุคของทิศตะวันออก (เอเชีย) ที่กำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ มีประชากรกว่า 4.6 พันล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 60% แบ่งเป็นประชากรในกลุ่มประเทศ asean+6 ราว 3.81 พันล้านคน จากประชากรทั่วโลกที่มีอยุ่ 7-8 พันล้านคน และนั่นคือโอกาสขององค์กรในประเทศไทยที่จะผลักดันในเรื่องของการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจระดับโลกในอนาคต
ทั้งนี้แม้ทั่วโลกจะก้าวสู่วิกฤตในช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส โดยเฉพาะในธุรกิจภาคเอกชนที่เน้นในเรื่องของการแข่งขันทั้งสมรรถนะ ความสามารถ พละกำลัง รวมถึงการดึงเรื่องของดิจิทัล ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันนับจากนี้
“การทำธุรกิจในช่วงโควิดก็เหมือนทุกคนกำลังเข้าโค้งกันหมด ซึ่งถึงโค้งสำคัญก็ต้องมีการลดสปีดความเร็วเพื่อประคับประคอง แต่หลังจากโควิดผ่านพ้นไป ก็ต้องมาดูว่าใครเข้าโค้งได้เนียนกว่า จนสามารถเร่งสปีดความเร็วในทางตรงได้ดีกว่า เร็วกว่า เป็นลำดับต้น ๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้พอผ่านปี 2565 (หลังโควิด) จะมีโอกาสอยู่ในถนนอีกยาว 5-8 ปี แต่ถ้าใครช้าก็ต้องเร่งปรับตัวอย่างแรง เนื่องจากปัจจุบันเรื่องการแข่งขันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสถาพแวดล้อมเราเปลี่ยนไป”
โดยจะต้องมีพัฒนาขีดความสามารถใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.องค์ความรู้ (Knowlegde) 2.ทักษะ (Skill)ในการนำทั้งสองส่วนที่ถนัดมาปรับใช้ในองค์เพื่อก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมระดับโลก นอกจากนี้ยังต้องมีการสร้างเครือข่ายกลุ่มอุตสาหกรรมไทยในการสร้างโอกาสทางตลาดโลก
“ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมระดับโลกจะขยายตลาดเป็นกลุ่มก้อน (pack size) แต่อุตสาหกรรมไทยยังไม่มีถึงตรงนั้น ดังนั้นการรวมกันสร้างเครือข่ายเพื่อเดินหน้าคือสิ่งสำคัญ”
ขณะที่โอกาสสำคัญของภาคธุรกิจหลังจากนี้มองว่ามีความต้องการที่เปลี่ยนไปและต้องปรับตัวเล็กน้อย โดยเฉพาะใน 2 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ 1.ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่จะต้องมีการปรับตัวจาก อุตสาหกรรมยานยนต์ 2.0 สู่ การเป็นไฟฟ้า
2.ภาคอุตสาหกรรมอย่างการบินในการเป็นศูนย์กลาง ไม่จำเป็นต้องเป็นฐานการผลิตเสมอไป แต่สามารถปรับตัวสู่การเป็นศูนย์กลางการซ่อมเครื่องบิน เพื่อรองรับการเตรียมตัวของอุตสาหกรรมการบินหลังโควิด และนั่นคือโอกาสอันดีที่จะต่อยอดในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความยั่งยืนเพื่อสร้างโอกาสของเศรษฐกิจฐานราก ในส่วนต่าง ๆ ทั้งการพัฒนา ต่อยอด สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ โดยผลักดันผ่านคนรุ่นใหม่ หรือลูกหลานของคนในชุมชน รัฐวิสาหกิจชุมชน สร้างความร่วมมือเพื่อต่อยอดโดยคนรุ่นใหม่ และชุมชนจะต้องลงมือทำเพื่อให้เจอกับประสบการณ์จริงในการเสริมทักษะอาชีพ
ขณะเดียวกันยังต้องมีการทำบัญชีครัวเรือน บัญชีค้าขาย การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างโอกาสทางการขายทั่วโลก เพื่อสร้างความยั่งยืน และนำไปสู่ความยั่งยืนของเศรษฐกิจฐานรากเช่นกัน
โดยในปี 2559 สินค้า OTOP (แกนหลักของเศรษฐกิจฐานราก) มีมูลค่ากว่า 1.09 แสนล้านบาท เติบโต 3-4% ต่อเนื่องทุกปี แล้วจึงมาถดถอยลงในช่วง 5-6 ปีหลังจากนั้น แต่แม้จะถดถอยอย่างไรแต่ปัจจุบันเศรษฐกิจฐานรากก็มีการเติบโตต่อเนื่อง จนมูลค่าทะลุ 2.5 แสนล้านบาท และนั่นคือตัวเลขที่สะท้อนรายได้ชุมชน ที่ถึงแม้จะยังมีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ประเทศที่มีมูลค่ากว่า 16 ล้านล้านบาท
“การสมดุลระหว่างปัจจัยพื้นฐานทางการผลิตของประเทศกับความหลากหลายของสินค้า (productivity) คือโอกาสอันดีของเศรษฐกิจฐานรากในการแปรรูป สร้างมูลค่าเพิ่ม และการพัฒนาองค์ความรู้ของคนรุ่นใหม่ ลูกหลานคนในชุมชน เพื่อพัฒนาแปรรูปสินค้าท้องถิ่น จนเป็นห่วงโซ่ของเกษตร-การแปรรูป-การท่องเที่ยวชุมชน นั่นคือการสร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตได้อย่างมีนัยยะ”