คอลัมน์ MARKET MOVE
“เมดอินเจแปน” หรือสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นดูจะยังคงความขลังในสายตาของผู้บริโภคชาวเอเชีย โดยเฉพาะในแดนมังกรที่คนจำนวนมากยอมข้ามน้ำข้ามทะเลไปช็อปสินค้าต่าง ๆ ในญี่ปุ่น เพื่อให้ได้สินค้าที่เชื่อว่าปลอดภัยและมีคุณภาพสูงกว่าการผลิตจากแหล่งอื่น
ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มหันมาพิจารณาใช้ญี่ปุ่นเป็นฐานผลิตสินค้าอีกครั้ง หลังจากกระจายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ อาทิ จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเพื่อควบคุมต้นทุน
สำนักข่าว “นิกเคอิ” รายงานว่า ชิเซโด (Shiseido) ผู้ผลิตสินค้าความงามสัญชาติญี่ปุ่นได้ประกาศปรับโครงสร้างฐานการผลิตสินค้าเพื่อรองรับดีมานด์ทั้งในและนอกประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการเน้นให้ญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตหลักอีกครั้ง
หวังชูจุดขายเรื่อง “เมดอินเจแปน” โดยทุ่มเงิน 839 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งโรงงานใหม่ที่อำเภอโทชิกิ ทางเหนือของกรุงโตเกียว
พร้อมกับเพิ่มกำลังผลิตของโรงงานที่โอซากา ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างขึ้นเป็น 2 เท่าจากแผนเดิม
การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการสร้างโรงงานใหม่ของบริษัทบนแผ่นดินญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี
โรงงานใหม่ทั้ง 2 แห่งจะเน้นผลิตสินค้ากลุ่มสกินแคร์ อาทิ โลชั่นสำหรับผิวหน้าและคอนดิชั่นเนอร์ โดยโรงงานที่อำเภอโทชิกิ ซึ่งมีกำหนดเดินสายการผลิตในปี 2562 จะรับผิดชอบสินค้าระดับกลางสำหรับขายในประเทศ
ส่วนโรงงานที่โอซากามีกำหนดเดินเครื่องจักรในปี 2563 จะผลิตสินค้าระดับบนรองรับทั้งตลาดต่างประเทศและในประเทศ
นับเป็นความเคลื่อนไหวต่อเนื่องจากการย้ายโรงงานผลิตสกินแคร์ แบรนด์ “อิริคเซอร์” (Elixir) จากเวียดนามกลับมายังญี่ปุ่นเมื่อช่วงต้นปี
“มาซาฮิโกะ อุโอทานิ” ประธานและซีอีโอของชิเซโด อธิบายว่า ผู้บริโภคในต่างประเทศโดยเฉพาะจีนยังให้ความสำคัญและความเชื่อมั่นกับสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นสูงมาก
เห็นได้จากยอดขายของบริษัทที่เติบโตต่อเนื่องด้วยการส่งออกไปยังตลาดเอเชียและการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว โดยคาดว่ายอดขาย 3 ไตรมาส เม.ย.-ธ.ค. จะสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9.65 แสนล้านเยน
ดังนั้นเพื่อเน้นย้ำจุดแข็งดังกล่าวจากนี้ไปสินค้า “เมดอินเจแปน” จะเป็นหัวหอกในการทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาญี่ปุ่น ผู้บริโภคท้องถิ่นในแต่ละประเทศ รวมถึงชาวญี่ปุ่นเอง
โดยเมื่อโรงงานใหม่เปิดทำการจะทำให้บริษัทมีฐานการผลิตในญี่ปุ่นรวม 4 แห่ง คือ โทชิกิ, ไซตามะ, ชิสุโอกะและโอซากา
นอกจากนี้อาจเพิ่มกำลังผลิตและจำนวนคนงานของโรงงานในชิสุโอกะและไซตามะด้วยเช่นกัน เพื่อปั้นยอดขายให้ถึง 1 ล้านล้านเยน และมีกำไรจากการดำเนินงาน 1 แสนล้านเยนภายในปี 2563 ตามเป้าที่วางไว้
“กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ชิเซโดได้เปรียบคู่แข่งทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นรายอื่น และแบรนด์ต่างชาติ”
สอดคล้องกับตัวเลขของสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของญี่ปุ่น ซึ่งระบุว่า ปี 2559 เป็นปีแรกที่ยอดส่งออกเครื่องสำอางสูงกว่านำเข้า ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 2.67 แสนล้านเยนเติบโต 29% จากปีก่อนหน้า
และช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 นี้การส่งออกยังเติบโตได้สูงกว่า 30% จนมีโอกาสแตะ 3 แสนล้านเยนเป็นครั้งแรก
หากแผนการของชิเซโดสำเร็จ จากนี้ต้องจับรอดูว่าจะมีแบรนด์ญี่ปุ่นรายไหนเลือกเดินตามรอย ย้ายฐานการผลิตกลับไปยังประเทศบ้านเกิดอีกบ้าง รวมท่าทีของแบรนด์เกาหลี-จีนว่าจะรับมืออย่างไร