ส.ภัตตาคารไทย ร้องนายกฯ ช่วย พักหนี้-ลดภาษี พยุงร้านอาหาร

สมาคมภัตตาคารไทย ร่อนแถลงการณ์ถึง “บิ๊กตู่” วอนเปิดมาตรการช่วยเหลือร้านอาหาร 4 ข้อ ทั้ง เงินกู้-พักหนี้-ผ่อนผันประกันสังคม- ลดภาษี พร้อมขอความร่วมมือร้านลดเวลานั่งทาน หันดีลิเวอรี่แทน

วันที่ 24 เมษายน 2564 นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ออกแถลงการณ์ เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาออกมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการ 4 ข้อหลัก ได้แก่
1. เพิ่มแหล่งเงิน  Soft Loan ที่เข้าถึงได้ง่าย
2. ผ่อนผันชำระต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ โดยอาจจะพักดอก 6 เดือน พักต้น 1 ปี
3. ช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งภาษี และค่าสาธารนูปโภค
4. ช่วยจ่ายค่าแรงพนักงาน 50%  หรือ ผ่อนผันค่าใช้จ่ายประกันสังคม 3 เดือน

ทั้งนี้สมาคมฯ มองว่าการแพร่ระบาดของโควิด 19 นับจนถึงวันนี้ 24 เมษายน 2564 ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อจำนวน 2,839 คน ยอดผู้ป่วยสะสมประมาณ 50000 คนและจะเพิ่มในอัตราสูงสุดเท่าที่เคยปรากฏ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการแพทย์ได้คาดการไว้ว่า สัปดาห์หลังสงกรานต์จะมีตัวเลขที่สูงขึ้น รัฐบาลและศบค. พยายามควบคุมสถานการณ์ ด้วยการขอความร่วมมือกับทุกหน่วยงานเพื่อพยายามควบคุมการแพร่ระบาดมิให้แพร่กระจาย เพื่อไม่ให้เกิดภาวะที่ เตียง แพทย์จะรักษาได้

โดยขอความร่วมมือมายังทุกภาคส่วนแล้วนั้น ผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศโดยเฉพาะในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงสุด 18 จังหวัดได้รับการผ่อนปรนให้นั่งรับประทานได้ ถึง 21.00 น. และซื้อกลับบ้านได้ถึง 23.00 น. โดยคำนึงถึงห่วงโซ่ธุรกิจที่จะกระทบถึงทั้งภาคแรงงาน พ่อค้าในตลาดค้าปลีก ค้าส่ง และเกษตรกร

ซึ่งทางสมาคมภัตตาคารไทยเองก็ได้ให้ความร่วมมือทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการถึงความจำเป็นดังกล่าว ซึ่งหากว่าสถานการณ์ดีขึ้น ทางรัฐบาลและศบค.จะผ่อนคลายการทำธุรกิจให้กลับคืนสภาพเดิมให้เร็วที่สุด โดยได้พยายามประคับประคองทั้งด้านการสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

ในวันนี้ด้วยสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ ทำงานที่บ้าน หยุดการเคลื่อนที่ หยุดการสังสรรค์รวมหมู่ให้มากที่สุด รวมทั้งการสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้ เกิดเป็นวงกว้าง กระทบถึงผู้คนในสังคม และความรุนแรงที่จะถึงแก่ชีวิตในเร็ววัน

ดังนั้นเพื่อร่วมกันให้สถานการณ์ดีขึ้นสมาคมภัตตาคารไทยใคร่ขอความร่วมมือ หากผู้ประกอบใด สามารถลดเวลาการนั่งในร้าน หรือ ทำการ take-home อย่างเดียวได้ โดยภาครัฐไม่ต้องออกมาตรการ เคอร์ฟิว ล็อคดาวน์ ซึ่งไม่ได้เกิดผลในแง่ของการชดเชยใดๆจากภาครัฐ