สะท้านวงการเครื่องดื่ม “เป๊ปซี่” ผนึก “ซันโทรี่” ทวงบัลลังก์น้ำดำ

คอลัมน์ จับกระแสตลาด

หลังจากที่ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รายงานความคืบหน้า กระแสข่าวการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในไทยของ “เป๊ปซี่โค” ยักษ์น้ำดำโลก ผ่านการขายหุ้นเพื่อเปิดทางให้กับ “ซันโทรี่” บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น เข้ามาช่วยรุกตลาดเครื่องดื่มในไทยอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

ล่าสุด บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ได้ประกาศแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับบริษัท ซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของซันโทรี่ เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุน โดยมีจุดประสงค์เพื่อรุกตลาดเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์แบบครบวงจรร่วมกัน

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า มีผลให้โรงงานผลิตของเป๊ปซี่ ภายใต้ “บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเฟรชเม้นท์ (ประเทศไทย)” ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอร์เรจ (ประเทศไทย) จำกัด” โดยซันโทรี่จะเข้าไปถือหุ้น 51% ในขณะที่เป๊ปซี่โคถือหุ้น 49% ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย

“อเดล การาซ” ประธานประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท เป๊ปซี่โค กล่าวถึงการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ว่า เพื่อสร้างการเติบโตและเสริมศักยภาพในตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น บริษัทจึงต้องปรับตัวและหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับตลาด การร่วมมือกับซันโทรี่ในไทยจะช่วยต่อยอดความสำเร็จของเป๊ปซี่ สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถนำเสนอพอร์ตโฟลิโอเครื่องดื่มที่หลากหลายต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ ซันโทรี่เป็นเจ้าของแบรนด์ อาทิ ซุปไก่สกัดและรังนก BRAND”S เครื่องดื่มเกลือแร่ LUCOZADE เครื่องดื่มน้ำผลไม้ RIBENA ชาพร้อมดื่ม TEAPLUS เครื่องดื่มอัดลมรสมะนาวผสมวิตามินซี CC LEMON กาแฟกระป๋อง MYCAFE เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 2 บริษัทถือเป็นพันธมิตรที่ร่วมกันดำเนินธุรกิจมานานในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเวียดนาม

“คาดว่าการถ่ายโอนการดำเนินธุรกิจระหว่าง 2 บริษัทจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมาย หลังจากนี้เป๊ปซี่โค ยังคงดูแลรับผิดชอบด้านการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ เป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่น-อัพ ลิปตัน เกเตอเรด และน้ำดื่มอควาฟิน่า รวมถึงการพัฒนาเครื่องดื่มใหม่ ๆ ในอนาคต ส่วนธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยว เป๊ปซี่โคยังคงดำเนินธุรกิจดังกล่าวด้วยตัวเอง” ประธานประจำภูมิภาค เป๊ปซี่โค กล่าว

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ตั้งข้อสังเกตว่า การผนึกกำลังของ 2 บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ระดับโลกในครั้งนี้จะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดน้ำอัดลมและตลาดเครื่องดื่มโดยรวมหลังจากนี้อย่างน่าจับตา เนื่องจากทั้งคู่นอกจากจะมีแบรนด์พอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีโนว์ฮาวในการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ และทำตลาด รวมถึงความพร้อมทางด้านการลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล

โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อทวงคืนบัลลังก์เจ้าตลาดน้ำดำที่เป๊ปซี่เคยครองตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน จนกระทั่งการเปลี่ยนโมเดลในการทำธุรกิจ มาผลิตและจัดจำหน่ายเองเมื่อปี 2555 หลังจากมีปัญหากับบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) บอตต์เลอร์ที่มีสายสัมพันธ์กันมานานกว่า 58 ปี และจุดแข็งคือการผลิตขวดแก้ว และเน็ตเวิร์กร้านค้า ร้านอาหาร โชห่วย กว่า 2 แสนแห่งทั่วประเทศ

โดยผ่านมาเป๊ปซี่เพลี่ยงพล้ำให้กับคู่แข่งในช่องทางนี้ไป และถูกคู่แข่งรายสำคัญ “โค้ก” แซงหน้า จนมีมาร์เก็ตแชร์เป็นผู้นำตลาดในที่สุด ด้วยตัวเลข 51% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ เป๊ปซี่ มาร์เก็ตแชร์ตกลงไปอยู่ที่ 33% จากตลาดน้ำอัดลมมูลค่า 5 หมื่นล้านบาท

แหล่งข่าวในวงการเครื่องดื่มรายหนึ่งระบุว่า ขณะนี้เป๊ปซี่พยายามรุกเข้าไปในโมเดิร์นเทรดอย่างหนัก พร้อมกับพยายามปิดจุดบอดในช่องทางเทรดิชันนอลเทรดอย่างต่อเนื่อง ด้วยแคมเปญการตลาดที่หนักหน่วง อาทิ แคมเปญแจกรถ ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ล่าสุด ส่งแคมเปญ “สายกินกับเจมส์ VS อิ่มเปรมไปกับคิม เลือกเลย…แล้วมากินให้ฟินไปด้วยกัน” หาผู้โชคดีร่วมกิจกรรมภารกิจลุยร้านเด็ด ตั้งแต่ 1-5 พ.ย. 60 ต่อเนื่องหลังแคมเปญส่งรหัสใต้ฝาลุ้นรถในฝันจบไปในช่วงปลายเดือนกันยายน

การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจรอบนี้ เป๊ปซี่จะทวงคืนความเป็นเจ้าตลาดกลับมาสำเร็จหรือไม่ ต้องติดตาม