ช่อง 3 เข้ม “ข่าว-ละคร” ปั๊มเรตติ้ง-โตดับเบิลดิจิต

สัมภาษณ์

 

ข้อมูลนีลเส็นระบุว่า ภาพรวมการใช้เม็ดเงินโฆษณาช่วง 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน) เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว โดยมีมูลค่าราว 36,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงง่าย ๆ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่-ผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงเม็ดเงินโฆษณาของธุรกิจไม่น้อย และจากความเคลื่อนไหวของช่อง 3 ที่ได้ผู้ประกาศข่าวแม่เหล็ก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” กลับคืนจอและมีการปรับโฉมรายการ “ครอบครัวข่าว” ส่งผลให้เรตติ้งรายการข่าวพุ่งยกแผง

ล่าสุด “สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์” กรรมการผู้อำนวยการสายธุรกิจทีวี บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ที่ทำให้ช่อง 3 กลับมากำไร 3 ไตรมาสติดกัน ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางในการสร้างรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องไว้ ดังนี้

“สุรินทร์” เริ่มฉายภาพว่า ปัจจุบันช่อง 3 มีรายได้หลักมาจากทีวี 80% แต่การพึ่งพาเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมโฆษณาก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น ช่อง 3 จึงเริ่มปรับกลยุทธ์หลายประการ ตั้งแต่การรีไซซ์องค์กรให้มีขนาดเล็กลง โดยปรับลดพนักงานบางส่วน ควบคู่กับดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ร่วมงานมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ที่ต้องการทรานส์ฟอร์มช่อง 3 ไปสู่คอนเทนต์โพรไวเดอร์ เป็นมากกว่าสถานีโทรทัศน์ เพื่อสร้างสายน้ำรายได้มากกว่า 1 ช่องทาง รองรับการเติบโตในอนาคต โดยมีแอปพลิเคชั่น CH3Plus Premium ช่วยปูทางชูคอนเทนต์พิเศษเฉพาะของช่อง 3

การผลิตและจำหน่ายคอนเทนต์ แต่เดิมช่อง 3 ผลิตละคร 1 เรื่อง เมื่อจบก็นำไปรีรัน แต่ไม่สามารถเอาไปต่อยอดได้เพิ่ม จึงเป็นที่มาของแนวคิดการทำ 1 คอนเทนต์ หลากแพลตฟอร์ม

กล่าวคือ 1 คอนเทนต์สามารถลงได้หลายช่องทาง ทั้งทางทีวี แอปพลิเคชั่น CH3Plus Premium และต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้เพิ่มจากการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในตลาด OTT กลุ่มแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งในไทยและต่างประเทศ อาทิ เอไอเอสเพลย์ ทรูไอดี เน็ตฟลิกซ์ วีทีวี อ้ายฉีอี้ พร้อมกับจำหน่ายในลักษณะออกอากาศพร้อมกับไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่ช่อง 3 ยังคงไปได้ด้วยดี ทั้งประเทศจีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์

ดังนั้น ต่อจากนี้ไปจะไม่จำกัดอยู่ที่การทำคอนเทนต์สำหรับป้อนช่อง 3 เพียงอย่างเดียว เพื่อขยายฐานสร้างรายได้ในหลายช่องทาง

ส่วนด้านการผลิต ขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยและพิจารณาการสร้างออริจินอลซีรีส์ให้แก่แพลตฟอร์มต่าง ๆ ควบคู่กับการร่วมผลิตกับพาร์ตเนอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยชูจุดแข็งด้านนักแสดงและผู้จัด ตลอดจนทีมงานที่มีในมือจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี

อีกด้านหนึ่งก็สนใจซื้อลิขสิทธิ์บทประพันธ์ในต่างประเทศมาผลิตเป็นละครไทย เนื่องจากใน 1 ปี ช่อง 3 จะผลิตละครราว 30 เรื่อง แต่ด้วยทีมงานเขียนบทละครต้องเขียนในหลายกองถ่าย ดังนั้น อาจเกิดความล่าช้าได้ การนำบทประพันธ์ในต่างประเทศเข้ามามีข้อดี คือ เรื่องดังกล่าวมักเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูง จึงคาดคะเนได้ว่าเมื่อนำมารีเมกจะสร้างความนิยมได้ไม่ยากนัก เช่น ปีนี้จะนำเรื่อง Doctor Foster ในต่างประเทศมาสร้าง และคาดว่าหากรัฐคลายมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการถ่ายทำของกองละคร จะสามารถเริ่มกลับมาถ่ายทำได้ในไตรมาส 3 นี้

คีย์แมนช่อง 3 ย้ำว่า แนวทางสำคัญที่จะเสริมช่อง 3 ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น คือ รายการข่าว โดยชูจุดเด่นทีมพิธีกรข่าวคุณภาพที่มีความน่าเชื่อถือ คอยเล่าข่าวให้ฟังตลอดทั้งวัน และจะกลายมาเป็นช่องทางหลักสร้างรายได้เพิ่มนอกจากการผลิตคอนเทนต์ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของช่อง 3

จากการกลับมาของสรยุทธ ผนวกกับกระแสการเสพข่าว เพื่อรับฟังสถานการณ์ข่าวแบบเรียลไทม์ ส่งผลต่อเรตติ้งให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และคาดว่าช่วงไตรมาส 2 นี้ มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยพบว่าในช่วงเดือน พ.ค.รายการเรื่องเล่าเช้านี้ มีนาทีโฆษณาดีขึ้นเป็น 75% ขณะที่เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ มีนาทีโฆษณาเป็น 95% จากเดิม 75%

เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ช่อง 3 ได้ขยายเวลาข่าวมากขึ้น โดยปรับเพิ่มเวลารายการข่าวรวมกว่า 1 ชม. ทำให้มีนาทีโฆษณาสูงขึ้น ประกอบกับการปรับตัวของรายการข่าวดีขึ้น มีแบรนด์เข้าลงโฆษณาทำให้รายได้กลุ่มข่าวในไตรมาส 1 เพิ่มเป็น 23% จากเดิม 20% แม้จะยังไม่เท่าในอดีตก่อนมีทีวีดิจิทัลที่เคยมีสัดส่วนรายได้จากรายการข่าวถึง 30% แต่ถือว่าปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

หากช่อง 3 สามารถรักษาระดับเรตติ้งและนาทีโฆษณาให้อยู่ในระดับนี้ได้ถึงในไตรมาส 3 จะมีการพิจารณาปรับราคาโฆษณาเพิ่มขึ้น โดยลดการให้ส่วนลด และคงเรตราคาไว้เท่าเดิม อาทิ รายการเรื่องเล่าเช้านี้ มีราคาโฆษณาอยู่ที่ 200,000 บาท/นาที ปกติจะมีส่วนลดให้ราว 20% อาจปรับลดส่วนลดลงเพื่อช่วยให้ช่อง 3 สร้างรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นได้

“กลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างการเติบโตดับเบิลดิจิตและรายได้ให้ช่อง 3 ได้อย่างแน่นอน” นายสุรินทร์กล่าวทิ้งท้าย