ไวตาบูสท์ รุกหนักวิตามินเจาะกลุ่มผู้ชาย

ตลาดอาหารเสริม-วิตามิน 8 หมื่นล้านระอุ “ไวตาบูสท์” เดินหน้าส่งวิตามินเฉพาะบุคคลเจาะกลุ่มผู้บริโภคต่อเนื่อง เพิ่มโฟกัสกลุ่มผู้ชาย รับกระแสรักสุขภาพ พร้อมเร่งเครื่องทำตลาดสร้างการรับรู้วงกว้าง ดึงลูกค้าจริง-ไมโครเอนเซอร์รีวิว ควบคู่ลอนช์โปรแกรมราคาเข้าถึงง่ายหลักร้อยถึงหลักพัน แก้เกมกำลังซื้อซบ ตั้งเป้าปี’64 ลูกค้าเพิ่ม 25-30%

หากจะกล่าวว่าสินค้าสุขภาพเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในปี 2564 คงไม่แปลก สะท้อนจากกลุ่มอาหารเสริมและวิตามิน ที่มีมูลค่าตลาดราว 80,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 10% โดยมีปัจจัยเอื้อหลักจากการเข้าสังคมสูงวัยในประเทศไทย และการเข้ามาของโควิด ยิ่งหนุนความนิยมมากขึ้น มุมหนึ่งนับว่าเป็นโอกาส แต่อีกมุมหนึ่งถือเป็นความท้าทายผู้ประกอบการ ทั้งในแง่กำลังซื้อที่ลดลง ประกอบกับการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นจากผู้เล่นหลากหลายหน้าที่กระโดดร่วมวงหวังชิงเม็ดเงินจากขุมทรัพย์นี้

นายศรัณย์ ชัยปราณี กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไวตาบูสท์ (ประเทศไทย) จำกัด ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย ผู้ให้บริการด้านการป้องกันและฟื้นฟูด้วยวิตามินบำบัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันภาพรวมของตลาดวิตามินเฉพาะบุคคล (Personal Life Vitamin) ในประเทศไทย อาจจะกล่าวได้ว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักสำหรับกลุ่มผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไป จากก่อนหน้านี้วิตามินเฉพาะบุคคลมีให้บริการเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ และมีราคาค่อนข้างสูง เฉลี่ยคอร์สละประมาณ 20,000-40,000 บาท ทำให้ผู้บริโภคจัดอยู่เพียงเฉพาะในกลุ่ม A และ B+

จากโอกาสและช่องทางดังกล่าว ที่ผ่านมาไวตาบูสท์จึงหันมาให้ความสำคัญและเริ่มทำตลาดวิตามินเฉพาะบุคคลมากขึ้น โดยเน้นในเรื่องของราคาเข้าถึงได้ง่าย เพียงหลักพันบาท จับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นคนอายุ 35-60 ปีขึ้นไป ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี โดยก่อนหน้าที่โควิด-19 จะระบาด บริษัทเน้นโปรดักต์ไปที่กลุ่มความงาม เช่น ดูแลสุขภาพผิวพรรณใบหน้า และควบคุมน้ำหนัก เป็นต้น โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิง 75% และกลุ่มผู้ชาย 25% แต่หลังจากมีการแพร่ระบาดของโควิดเกิดขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

โดยเฉพาะการรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน ทั้งการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดี ตลอดจนการรับประทานวิตามิน ส่งผลให้กลุ่มวิตามินเพื่อสุขภาพเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและไม่ฉาบฉวย ขณะที่กลุ่มวิตามินเพื่อความงามเริ่มลดลง เนื่องจากถูกมองว่าเป็นสินค้าลักเซอรี่ ไม่ใช่สิ่งเร่งด่วนที่จำเป็นต้องซื้อ และถูกผูกไว้กับเศรษฐกิจและกำลังซื้อเป็นหลัก

นายศรัณย์กล่าวต่อไปว่า โจทย์สำคัญในตอนนี้คือการสร้างการรับรู้ด้านวิตามินในกลุ่มผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคไทยหลายกลุ่มอาจยังไม่เข้าใจวิตามินที่จัดมาให้เหมาะสำหรับเฉพาะบุคคลมากพอ โดยการทำตลาดจะเน้นไปที่การแนะนำผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการสร้างคอนเทนต์จากรีวิวผู้ใช้จริง สร้างความน่าเชื่อถือ เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันผู้บริโภคยุคใหม่เลือกสรรสินค้ามากขึ้น และไม่ค่อยเชื่อการโฆษณารูปแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ดังนั้นการตลาดต้องมาเน้นที่การบอกปากต่อปาก หรือรีวิวจากผู้ใช้จริงมากกว่า

นอกจากนี้ยังมีแผนนำไมโครเอนเซอร์ หรือกลุ่มคนดังที่มียอดผู้ติดตาม 10,000-100,000 คน ที่มีความรู้ด้านสุขภาพเข้ามาช่วยเสริมการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง ควบคู่กับการทำโปรโมชั่นให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจ เช่น โปรแกรมปกติราคา 4,000 บาท/เดือน ลดราคาเหลือ 900-1,200 บาท/เดือน เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ บริการของไวตาบูสท์จะเป็นในลักษณะให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนตัวและผลตรวจสุขภาพ อาทิ ยาประจำตัว ประวัติการรักษา และพฤติกรรมการใช้ชีวิตกับบริษัท และผลการเจาะเลือด เพื่อวัดระดับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมวิเคราะห์ผลแล็บโดยทีมแพทย์ และนักโภชนาการผู้เชี่ยวชาญ ควบคู่กับการนำเข้ามูลเข้าสู่ระบบดาต้าเฮลท์บนแอปพลิเคชั่นที่เปรียบเสมือนสมุดพกสุขภาพ ควบคู่กับการวิเคราะห์คำนวณปริมาณชนิดของอาหารเสริมที่เหมาะสมกับแต่ละคนผ่าน Vitalyzer Program โปรแกรมระบบปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) พร้อมบริการดีลิเวอรี่วิตามินเฉพาะบุคคลถึงบ้าน

“นอกจากนี้ จากเทรนด์ที่กลุ่มผู้ชายเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ไวตาบูสท์จึงหันมาเพิ่มโฟกัสกลุ่มผู้ชาย ด้วยการพัฒนาโปรแกรมสำหรับกลุ่มผู้ชายโดยเฉพาะ ให้มีความหลากหลายมากขึ้นจากปกติ ตลาดวิตามินสำหรับผู้ชายโตอยู่แล้ว แต่ส่วนมากจะเป็นส่วนเสริมสมรรถภาพร่างกาย เช่น กลุ่มเล่นฟิตเนส เป็นต้น ปัจจุบันตลาดวิตามินมีการแข่งขันสูงและมีแนวโน้มดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ การให้บริการหรือสินค้าที่เหมือน ๆ กัน อาจทำให้เราไล่ตามคนอื่นไม่ทัน ยุทธศาสตร์ของไวตาบูสท์จึงมุ่งเน้นการสร้างแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่ในตลาดทั่ว ๆ ไป โดยปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าอีก 25-30% และเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ตลาดวิตามินจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นายศรัณย์กล่าว