“เจ็ทส์ฯ” มั่นใจดีมานด์ฟิตเนสดีดกลับ หลังโควิดคลี่คลาย เร่งบริหารจัดการต้นทุน-ขยายธุรกิจ รอชิงโอกาสทอง เดินสายเจรจาลดค่าเช่าสาขา ผุดแพ็กเกจครูฝึกราคาสบายกระเป๋า เปิดคลาสออนไลน์-แอปพลิเคชั่น เกาะกระแสเวิร์กฟรอมโฮมรุกเจาะลูกค้าองค์กร พร้อมลงทุนผุดสาขาเพิ่มตามแผน
นายเดน แคนท์เวล กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย เจ็ทส์ ฟิตเนส ประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการฟิตเนสทุกค่าย ทั้งการปิดให้บริการชั่วคราว จากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อลดการแพร่ระบาด รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กซึ่งสถานะทางการเงินอาจไม่เอื้อให้สามารถปิดบริการชั่วคราวได้นานหลายเดือน จนอาจทำให้ต้องปิดบริการไปจำนวนหนึ่ง
แต่โดยส่วนตัวยังเชื่อมั่นว่า ฟิตเนสยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และสามารถจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย สะท้อนจากทั้งปรากฏการณ์ในไทยช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่นอกจากสมาชิกเดิมจะกลับมาแล้ว ยังมีผู้สมัครใหม่เพิ่มขึ้นด้วย เช่นเดียวกับข้อมูลจากหลายประเทศที่เมื่อธุรกิจกลับมาเปิดได้ ฟิตเนสหลาย ๆ แห่งจะมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ทิศทางจากนี้ไป เพื่อรองรับโอกาสเติบโตดังกล่าว เจ็ทส์ ฟิตเนส จะมุ่งรักษาและเสริมความได้เปรียบทั้งด้านจำนวนสาขา ทีมงาน รวมถึงโมเดลการตลาด ด้วยการเดินหน้าเพิ่มสาขา เพิ่มจำนวนพนักงาน และเปิดตัวแพ็กเกจครูฝึกที่ตอบโจทย์สถานการณ์กำลังซื้อในปัจจุบัน เพื่อเตรียมชิงความได้เปรียบในการจูงใจผู้บริโภคเมื่อสามารถกลับมาเปิดบริการได้อีกครั้ง แม้ว่าจะต้องรอนาน 2-6 เดือนก็ตาม
สำหรับการบริหารจัดการในช่วงการล็อกดาวน์ ขณะนี้แม้ว่าจะเปิดให้บริการได้เพียง 2 สาขา คือ ภูเก็ต และเชียงใหม่ จากทั้งหมด 37 สาขา เนื่องจากต้องปิดให้บริการชั่วคราว ตามมาตรการของทางการเพื่อลดการแพร่ระบาด บริษัทได้เน้นการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ เช่น เจรจากับเจ้าของพื้นที่เพื่อลดค่าเช่า ซึ่งล่าสุดสามารถเจรจาได้สำเร็จไปแล้วประมาณ 95% ของสาขาทั้งหมด ส่วนสาขาภูเก็ตก็สามารถทำยอดสมาชิกได้น่าพอใจ ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องลดจำนวนสาขาลง
“ส่วนทีมงานทั้งในส่วนของสำนักงานและครูฝึก รวมกว่า 500 คน ยืนยันว่าไม่มีแผนลดคน แต่จะใช้วิธีการลดเงินเดือนลงแทน ขณะเดียวกันก็จะมุ่งหารายได้มาเสริม รวมถึงการให้ความสำคัญกับการรักษาฐานสมาชิกเดิมไว้ ด้วยโมเดลไฮบริด ซึ่งเป็นแพ็กเกจครูฝึกส่วนตัวแบบใช้ได้ทั้งในสาขาและออนไลน์ผ่านวิดีโอคอล พร้อมราคาจับต้องได้ หรือเฉลี่ยครั้งละ 500 บาท ขณะที่แพ็กเกจปกติราคาเฉลี่ย 800-1,000 บาท ซึ่งได้เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อตอบโจทย์การปิดสาขาและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลงมาก”
ขณะเดียวกันก็มีการประสานกับครูฝึกให้มีการติดต่อกับสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจูงใจให้สมาชิกเข้ามาใช้บริการคลาสออนไลน์ทั้งแบบตัวต่อตัว และกลุ่มย่อย 3-4 คน รวมทั้งการใช้โอกาสจากการทำงานที่บ้าน หรือเวิร์กฟรอมโฮม ในการเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรซึ่งหลายแห่งต้องการเสริมสวัสดิการด้านสุขภาพให้กับพนักงานในระหว่างทำงานที่บ้าน ด้วยการเสนอบริการจัดคลาสออกกำลังออนไลน์ให้กับพนักงาน
“ที่ผ่านมามีสมาชิกยกเลิกสัญญาไปจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ต้องเดินทางกลับประเทศ แต่สมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวไทยถึง 89% และมีการยกเลิกการเป็นสมาชิกบ้าง แต่เป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก และยืนยันว่า บริษัทยังมีเงินลงทุนเพียงพอสำหรับการขยายสาขาและฐานสมาชิกต่อเนื่อง นอกจากนี้ จากการที่บริษัทเป็นส่วนหนึ่งของฟิตเนสแอนด์ไลฟ์สไตล์กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของออสเตรเลีย หากจำเป็นก็สามารถขอการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบริษัทแม่ได้
กรรมการผู้จัดการ เจ็ทส์ ฟิตเนส กล่าวว่า สำหรับแผนในช่วงไตรมาส 3-4 โดยจะเน้นการสื่อสารกับสมาชิกและผู้บริโภคทั่วไป เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการใช้บริการ มีไฮไลต์เป็นแอปพลิเคชั่นที่มีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการคลาสออนไลน์ การให้ความรู้ด้านสุขภาพและการออกกำลังผ่านทางโซเชียลมีเดีย และคลาสออกกำลังฟรีผ่าน live steam ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงสมาชิก
ที่ผ่านมาทำยอดผู้ชมสด 50-200 คน และมียอดรวม 5 แสนคนต่อเดือน นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดสาขาใหม่อีก 1 สาขาในปีนี้ และปีหน้าหากสถานการณ์คลี่คลายจะเร่งเปิดสาขาใหม่ 2 สาขาต่อเดือน เพื่อให้ครบ 100 สาขาในอีก 3 ปี ตามเป้าที่วางเอาไว้
“เราเชื่อว่าธุรกิจฟิตเนสยังแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโต โควิดจะต้อง
จบลงสักวันหนึ่งแน่นอน แม้อาจจะใช้เวลานาน 2-6 เดือนก็ตาม เมื่อกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ด้วยจำนวนสาขา ระดับราคา และโมเดลธุรกิจ จะทำให้เจ็ทส์ฯได้เปรียบ”