8 สมาคมธุรกิจ ร้อง ศบค.-สธ. คลายล็อกธุรกิจในศูนย์การค้า

ห้างล็อกดาวน์

8 สมาคมธุรกิจยื่นหนังสือเปิดผนึกต่อเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ ผอ.ศปก.ศบค.-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยื่นขอคลายล็อกเปิดศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ธุรกิจประเภทต่าง ๆ และสนามกอล์ฟ เป็นการเร่งด่วน หลังเกิดปัญหาการเลิกจ้างงานจำนวนมาก และกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 นางศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ เคอี กรุ๊ป จำกัด ในฐานะกรรมการสมาคมศูนย์การค้าไทย และผู้แทนคณะทำงาน 8 สมาคมธุรกิจ ได้รับมอบหมายจาก นายนพพร วิฑูรชาติ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย เปิดเผยว่า สมาคมศูนย์การค้าไทย, สมาคมธุรกิจร้านอาหาร, กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สมาคมคลีนิกเอกชน, สมาคมวิชาชีพช่างผมไทย, สมาคมผู้ประกอบการสปาไทย, สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย และสมาคมสนามกอล์ฟไทย รวม 8 สมาคมที่เกี่ยวข้อง

เดินหน้ายื่นหนังสือต่อพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ ผอ.ศปก.ศบค. และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่องนำเสนอแนวทางการลดระดับการล็อกดาวน์ (Lock Down) เพื่อรักษาสภาพเศรษฐกิจ พร้อมนำเสนอแนวทางการเปิดศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และธุรกิจต่าง ๆ ในศูนย์การค้า และสนามกอล์ฟ รวมถึงมาตรการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อรองรับการให้บริการอย่างปลอดภัย หลังได้รับผลกระทบจากการประกาศล็อกดาวน์ของภาครัฐที่มีการประกาศและคำสั่งให้ปิดกิจการเป็นระยะ ๆ เรื่อยมา

โดยทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างต้องประสบปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก และข้อเท็จจริงพบว่า สาเหตุของการติดเชื้อที่มาจากศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ และสนามกอล์ฟนั้นต่ำมาก อีกทั้งประชาชนโดยรวมนั้นมีความเข้าใจมากขึ้น ในการดูแลด้านสุขอนามัย ตระหนักในการเดินทางและการเคลื่อนย้ายซึ่งจะกระทำเมื่อมีความจำเป็น ในขณะที่ปัจจุบัน ร้านค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยชี้แจงเพิ่มเติมว่า ลูกค้าที่ WFH มีความจำเป็นและต้องการสินค้าประเภทนี้เพิ่มมากขึ้น และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อนั้นมีน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่แสดงสินค้า ที่สำคัญศูนย์การค้าและคอมมิวนิตี้มอลล์มีมาตรการด้านสาธารณสุขที่ดีและได้มาตรฐาน 

ทั้งนี้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ร้านอาหาร และร้านค้าประเภทต่าง ๆ มีมูลค่าโดยรวมกว่าเจ็ดแสนล้านบาทและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นความสูญเสียและส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นอย่างมาก ภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามมาตรฐานทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้มาใช้บริการในศูนย์การค้า ร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ และสนามกอล์ฟ โดยขอให้ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาการปลดล็อกเป็นระยะ และมีแผนการปลดล็อกที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนรับทราบล่วงหน้า โดยอาจใช้เกณฑ์ที่ใกล้เคียงกับต่างประเทศ เช่น อัตราได้รับการฉีดวัคซีนของประชาชน 

“จากกรณีศึกษารัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ สิงคโปร์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ได้มีการปลดล็อกให้ศูนย์การค้า ร้านค้า ร้านอาหาร และสนามกอล์ฟ เปิดให้บริการตามปกติกันมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เรื่อยมา โดยหลายประเทศใช้เกณฑ์การได้รับวัคซีนของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งมีตั้งแต่ 45%-70% ของประชากร และพบว่าแนวโน้มของผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตเป็นไปในทิศทางที่ลดลง ตามลำดับ ดังนั้น พบว่า กรุงเทพฯมีประชากรกว่า 80% ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเช่นกัน และประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อต่ำกว่าหลายประเทศที่กล่าวข้างต้น”

โดยสรุป จึงอยากขอให้ ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญด้านการบริหารการจัดการการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงโดยเร็ว พิจารณาให้ความสำคัญเปิดธุรกิจต่าง ๆ ในศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ และสนามกอล์ฟ เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบมาเป็นระยะเวลานาน เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการที่ต้องปิดกิจการชั่วคราวแบกรับภาระต้นทุนต่าง ๆ มากมาย อาทิ ต้นทุนค่าจ้างพนักงาน ต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ต้นทุนอื่นๆ เพื่อนำมาหมุนเวียนกิจการ หากยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแบบเร่งด่วน เชื่อว่าจะส่งผลให้เกิดปัญหาเลิกจ้างงานจำนวนมาก ซึ่งจะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างมาก และเสริมท้ายว่า กรุงเทพฯมีธุรกิจในภาคบริการเป็นสัดส่วนที่สูง และการจัดให้มีวัคซีนที่เพียงพอและมีทางเลือกที่ดี อาจผลักดันให้กรุงเทพฯเป็น Vaccine Destination ให้กับประเทศข้างเคียงในภูมิภาคได้อีกทางหนึ่งด้วย