แม้การลงนามในสัญญาการจัดซื้อชุดตรวจโควิด-19 จำนวน 8.5 ล้านชิ้น มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ระหว่างองค์การเภสัชกรรม และบริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายของบริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัด ที่เป็นผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด จะลุล่วงไปแล้วเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา
หลังจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เริ่มต้นนับ 1 จากการประกาศแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ 2564 ตามโครงการยาเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ โครงการโควิด-19 (ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.) ที่โรงพยาบาลราชวิถี ในฐานะที่เป็นแม่ข่ายลงบนเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
พร้อมกันนี้เวิลด์ เมดิคอลฯยังได้กำหนดแผนการทยอยจัดสั่งชุดตรวจโควิด-19 “Lepu” ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายนที่จะถึงนี้ และจะส่งมอบเป็นลอต ๆ ต่อไปจนครบ 8.5 ล้านชิ้น
แต่ถึงวันนี้ (3 กันยายน) ดูเหมือนว่าโครงการการจัดซื้อชุดตรวจโควิด-19 จะยังไม่จบลงง่าย ๆ หลังจากก่อนหน้านี้ชมรมแพทย์ชนบทออกมาท้วงติงทั้งในเรื่องคุณภาพและราคา รวมถึงการที่ยังไม่มีข้อยุติเรื่องการรับรองผลิตภัณฑ์
ส่อผิด พ.ร.บ.การจัดซื้อฯ
เริ่มจากการตั้งข้อสังเกตของ “รสนา โตสิตระกูล” อดีตสมาชิกวุฒิสภา ที่โพสต์ผ่านเฟซบุุ๊กส่วนตัว (1 กันยายน) ด้วยการตั้งคำถามถึงองค์การเภสัชกรรมว่า การทำสัญญาจัดซื้อ ATK กับบริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯแทนบริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล ผิดกฎหมายหรือไม่ ?
โดยโพสต์ดังกล่าวยังระบุว่า “ในข่าววันที่ 11 ส.ค. 2564 องค์การเภสัชกรรมระบุว่า บริษัทที่ชนะประมูลเพราะเสนอราคาต่ำสุดคือ บริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล ไม่มีชื่อของบริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯปรากฏมาก่อน
การที่บริษัทที่เป็นคนละนิติบุคคลกับบริษัทที่ชนะประมูลสวมสิทธิมาเป็นคู่สัญญากับรัฐแทนนั้น น่าจะไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 หรือไม่
พร้อมกันนี้ “รสนา” ยังอ้างอิงถึง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อาทิ มาตรา 7 ที่ระบุถึงข้อยกเว้น หรือมาตรา 64 ที่เป็นการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าประมูล
ช่วงเย็นย่ำค่ำวันเดียวกัน “ศิรินุช ชีวันพิศาลนุกุล” รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม แถลงชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวเพียงสั้น ๆ ใจความว่า “การจัดซื้อ ATK 8.5 ล้านชุด ตามโครงการพิเศษของ สปสช.อย่างเร่งด่วนนั้น
บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายยี่ห้อ SARS-CoV-2 Antigen Rapid Test Kit จากบริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.”
และเย็นวันถัดมา (2 กันยายน) “ศิรินุช” ออกมาย้ำอีกครั้งว่า เวิลด์ เมดิคอลฯเป็นผู้ยื่นซองราคาชุดตรวจ ATK ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการจากออสท์แลนด์ฯ ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2564
ซึ่งออสท์แลนด์ฯเป็นผู้ที่ได้รับใบรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการเป็นผู้ผลิตหรือนำเข้าชุดตรวจ ATK และได้ยื่นซองเสนอราคาในนามเวิลด์ เมดิคอลฯ และเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดผ่านเกณฑ์ตามข้อกำหนดองค์การเภสัชกรรม จึงลงนามสัญญาจัดซื้อ ATK กับเวิลด์ เมดิคอลฯ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม
เริ่มต้นนับ 1…การตรวจสอบ
ขณะที่ “รสนา” ได้โพสต์เฟซบุ๊กในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันถึงเรื่องนี้อีกครั้งว่า ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าการ สตง. และอธิบดีกรมบัญชีกลาง ขอให้ทั้ง 2 หน่วยงานตรวจสอบการทำสัญญาจัดซื้อ ATK ที่องค์การเภสัชกรรมให้บริษัทที่ไม่ได้เข้าประมูล ไม่ได้ชนะการประมูล ซึ่งไม่สามารถลงนามเป็นคู่สัญญามาเป็นคู่สัญญากับรัฐชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”
อาจจะกล่าวได้ว่า การทำหนังสือถึง 2 หน่วยงานนี้เป็นการเริ่ม 1 ในการร้องต่อ สตง. และกรมบัญชีกลาง เมื่อมีผู้กล่าวร้องแล้วผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ (มาตรา 5) รวมถึงกระบวนการทำงานของคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (มาตรา 20 และมาตรา 24) คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (มาตรา 27 มาตรา 28) ที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาได้ทันที หรือจะมีข้อสั่งการในเรื่องนี้อย่างไร
รายงานข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยในเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมา สตง.ได้มีการติดตามเก็บข้อมูลเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น รวมทั้งมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบข้อมูลการดำเนินงานโครงการอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐคุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด ถ้าหากพบปัญหาก็ให้รีบดำเนินการแจ้งหน่วยงานดังกล่าวเร่งปรับปรุงแก้ไข
สปสช.จ่อเบรกจ่ายเงิน
แหล่งข่าวจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นผู้บริหารระดับสูงของ สปสช.ก็มีความกังวลในเรื่องนี้ และได้มีการหารือข้อกฎหมายกับหลาย ๆ ฝ่ายถึงข้อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีข้อเสนอและมีการท้วงติงในเรื่องของคู่สัญญาและหลาย ๆ ฝ่ายมีความเห็นว่า
ถ้าคู่สัญญาไม่ใช่บริษัทผู้ชนะการประมูล สปสช.จะจ่ายเงินไม่ได้ ขืนจ่ายไป สปสช.มีความผิดที่จ่ายเงินให้แก่บริษัทที่ไม่ใช่บริษัทที่ชนะการประมูล
อย่างน้อยที่สุดจากเอกสารและข่าวที่องค์การเภสัชกรรมแถลงออกมาก็มีความชัดเจนว่า องค์การเภสัชกรรมไม่ได้ทำสัญญาซื้อชุดตรวจ ATK กับออสท์แลนด์ฯ ซึ่งองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ประกาศว่าเป็นผู้ชนะการประมูล แต่ทำสัญญากับเวิลด์ เมดิคอลฯ ซึ่งไม่ใช่บริษัทที่ชนะการประมูล
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มีความชัดเจนในเรื่องนี้ อาจจะต้องรอข้อสรุปจาก สตง. หรือกรมบัญชีกลาง รวมถึงคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาก่อนจึงจะเริ่มจ่ายเงิน
“แม้เวิลด์ เมดิคอลฯจะเป็นผู้แทนจำหน่ายของออสท์แลนด์ฯ องค์การเภสัชกรรมก็ทำสัญญากับเวิลด์ เมดิคอลฯไม่ได้ นั่นเพราะเวิลด์ เมดิคอลฯไม่ได้เสนอตัวเข้าประมูล และไม่ได้เป็นผู้ชนะการประมูล” แหล่งข่าวกล่าว
นี่คือข้อกังวลของ สปสช.ในฐานะเจ้าของโครงการและเจ้าของเงิน
อีกด้านหนึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงว่างบประมาณจำนวน 1,014 ล้านบาท สำหรับโครงการนี้เป็นงบฯเงินกู้ หากผ่านสิ้นกันยายนนี้ไปแล้ว และเงินนี้ยังไม่ได้ใช้ งบประมาณจำนวนนี้ก็จะหมดอายุลง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดจะพบว่า การประมูลชุดตรวจ ATK ครั้งนี้ไม่เพียงจะมีความสุ่มเสี่ยงในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯแล้ว อีกด้านหนึ่งอาจคาบเกี่ยวไปถึงมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา
ที่เป็นบทลงโทษเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต
เรื่องทั้งหลายทั้งปวงอาจจะไปจบที่กระบวนการทางศาล
ผ่านจาก พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ ยังอาจจะมีมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญารออยู่อีกกระทง
และท้ายที่สุด…งานนี้จะต้องมีคน ต้องรับผิดชอบ !