โควิดทุบขายตรง 7 หมื่นล้านร่วง สมาคมจัดงานใหญ่ปลุกตลาด

โควิด-19 กระทบธุรกิจขายตรงครึ่งปีแรก ติดลบ 5% นายกสมาคมมั่นใจธุรกิจดีดกลับ หลังรัฐบาลปูพรมฉีดวัคซีน-คลายล็อกดาวน์-มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะผู้ประกอบการพลิกกลยุทธ์ ปรับตัวจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ พึ่งแพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยปั๊มยอด ควบคู่พัฒนาโปรดักต์รับเทรนด์สุขภาพ ย้ำสินค้าต้องซับซ้อนน้อยลง-ราคาเข้าถึงง่าย ย้ำในวิกฤตย่อมมีโอกาส ผู้คนมองหาอาชีพเสริมมากขึ้น ขายตรงคือทางเลือก

นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดขายตรงทั่วโลก รวมถึงธุรกิจขายตรงในประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เป็นตัวแปรเข้ามาดิสรัปชั่น (disruption) การดำเนินธุรกิจขายตรงที่มีมูลค่ารวม 7 หมื่นล้านบาท ของประเทศไทย โดยยอดขายรวมปี 2563 ติดลบประมาณ 1% และในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ที่ผ่านมา ยอดขายของธุรกิจขายตรงไทยติดลบมากกว่า 5% หลัก ๆ มาจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อจากผู้บริโภคถดถอยลง ผู้คนหันไปจับจ่ายเรื่องอาหารและสินค้าจำเป็น

“การติดลบครั้งนี้ถือว่าไม่ได้รุนแรงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เช่น การจัดสรรวัคซีนให้ครอบคลุมได้มากขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะช่วยให้สถานการณ์โดยรวมเริ่มดีขึ้น และคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้ ธุรกิจขายตรงจะมียอดขายกลับมาดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรกได้”

สำหรับกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยผลักดันธุรกิจขายตรงให้ฟื้นตัวได้ คือการปรับตัวเปลี่ยนจากออฟไลน์เป็นออนไลน์ ด้วยการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือการทำตลาด แต่ต้องไม่ทิ้งการทำตลาดแบบดั้งเดิม เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและให้สอดรับพฤติกรรมการสั่งสินค้าของคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงการพัฒนาสินค้ายังมุ่งไปที่กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ 60% ความงาม 40% ซึ่งจุดขายจะต้องโฟกัสไปยังสินค้าที่ซับซ้อนน้อยลง ราคาเข้าถึงง่าย และสินค้าต้องสอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ด้วยการจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

อีกด้านหนึ่ง ปัจจุบันผู้คนมองหาอาชีพเสริมมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขายตรงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการหารายได้เสริม ซึ่งจะทำให้นักธุรกิจอิสระเพิ่มขึ้น ทั้งหมดจะช่วยสร้างโอกาสให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยปัจจุบันธุรกิจขายตรงในไทยมีนักธุรกิจประมาณ 11 ล้านคน ในปีที่ผ่านมาแม้มีคนเข้ามาสมัครสมาชิกใหม่ แต่ในทางกลับกันก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ออกจากธุรกิจไปด้วยเช่นกัน

ล่าสุดสมาคมการขายตรงไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์การขายตรงโลก ในการทำงานร่วมกับสมาคมขายตรงจาก 60 ประเทศทั่วโลก เพื่อช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมขายตรงให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และปีนี้ประเทศไทยได้รับเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสมาพันธ์การขายตรงโลก ครั้งที่ 16 ผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 6-7 ตุลาคม 2564 โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นประจำทุก 3 ปี โดยการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมความรู้และแลกเปลี่ยนมุมมองด้านต่าง ๆ

สำหรับนำมาพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ประกอบการขายตรงในไทยและนักธุรกิจอิสระทั่วโลก โดยมีทั้งนักวิชาการ นักกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ นักวิจัย รวมถึงนักธุรกิจและผู้บริหารเข้ามาร่วมแชร์ความรู้และประสบการณ์ โดยผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับช่องทางการทำธุรกิจขายตรงในโลกยุคดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพ โดยเปิดลงทะเบียนเข้าร่วมงานตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 กันยายน 2564

นายกิจธวัชให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันธุรกิจขายตรงทั่วโลกยังคงมีอัตราการเติบโต จากมูลค่าตลาดราว ๆ 179.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโต 5.8% และมีจำนวนนักธุรกิจอิสระทั่วโลกมากกว่า 125 ล้านคน หรือเติบโต 4.3% โดยภูมิภาคเอเชียยังครองสัดส่วนสูงสุด ทั้งด้านยอดขายที่สูงถึง 43% และจำนวนของนักธุรกิจอิสระที่มีส่วนแบ่งกว่าครึ่งอยู่ที่ 55% ของขายตรงโลก ทำให้เอเชียกลายเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนหลักของธุรกิจขายตรงในปัจจุบัน