น้ำท่วมหนุนปลากระป๋องรุ่ง ปุ้มปุ้ยงัดสินค้าใหม่ดันยอด

โควิด-น้ำท่วม หนุนตลาดปลากระป๋อง 9 พันล้านพุ่ง “ปุ้มปุ้ย” ไม่หวั่นปัญหาวัตถุดิบ เร่งปรับตัวรับโอกาส เดินหน้าลอนช์สินค้ารสชาติใหม่ ปูพรมทุกช่องทางขายเพิ่มน้ำหนักออนไลน์ มั่นใจตลาด CLMV แนวโน้มสดใส สิ้นปีตั้งเป้าสร้างรายได้โต 10%

นายไกรฤทธิ์ โตทับเที่ยง ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นก็ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อค่อนข้างมาก ขณะที่มาตรการล็อกดาวน์ และการทำงานที่บ้าน หรือ work from home เป็นตัวแปรให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งหันมาประกอบอาหารรับประทานเองในครอบครัว บวกกับสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงอาหารกลุ่มกระป๋องและอาหารพร้อมทานมากขึ้น ทั้งซื้อทานเองและซื้อไปบริจาค จึงทำให้อาหารกลุ่มดังกล่าวมียอดขายเพิ่มขึ้น

จากปัจจัยดังกล่าว โดยส่วนตัวมองว่าจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดปลากระป๋องประเภทซอสที่มีมูลค่ากว่า 8,000-9,000 ล้านบาท ในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับ 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่ตลาดรวมมีภาวะชะลอตัวและการแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่องในทุกปี ทั้งในแง่ของการจัดโปรโมชั่นลดราคา ทั้งผู้ประกอบการเดิม และผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ที่หันมาเน้นสร้างแบรนด์สินค้าราคาถูก ขณะที่บริษัทเน้นให้ความสำคัญในการสร้างแบรนด์ ชูเรื่องจุดขาย รสชาติ คุณภาพที่มาตรฐาน ในราคาที่เข้าถึงง่ายเน้นสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทำให้ภาพรวมบริษัทในครึ่งปีแรกมียอดขายเติบโตขึ้น 8-10%

สำหรับกลยุทธ์และทิศทางการทำตลาดจากนี้ต่อไป บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะผลิตภัณฑ์กลุ่มปลากระป๋องเท่านั้น ล่าสุดเตรียมลอนช์หอยลายรสชาติใหม่ รสคั่วกลิ้ง ซึ่งอยู่ในหมวดสินค้ากระป๋อง เริ่มทยอยวางขายในช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ควบคู่ไปกับการทำตลาดด้วยการจัดโปรโมชั่นลดราคาในแต่ละช่องทางอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ประกอบการปลากระป๋องต้องเจอปัญหาวัตถุดิบ คือ ปลาแมกเคอเรลขาดตลาดมตั้งแต่ต้นปี แต่ขณะนี้เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น เพราะเป็นฤดูที่ชาวประมงเริ่มจับปลาได้และทยอยนำเข้ามา และคาดว่าสถานการณ์จะกลับมาอยู่ในภาวะปกติปลายเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งบริษัทจะต้องเตรียมวัตถุดิบให้เต็มที่ เพราะตอนนี้สินค้าในห้างกับร้านค้าก็ยังขาดส่งอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวหันมาส่งผลิตภัณฑ์ประเภทซาร์ดีนทดแทน

นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นการสร้างรายได้จากการได้รับสัมปทานการขายอาหาร-เครื่องดื่มบนรถไฟจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (มีนาคม 2563-มีนาคม 2566) ด้วยบริการอาหารหลากหลายรูปแบบ อาทิ ข้าวสวยหอมมะลิ กับแกงมัสมั่นไก่ แกงฉู่ฉี่ปลา หอยลายผัดกระเทียม เป็นต้น ควบคู่กับปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ชุดอาหารให้มีความสะดวกและทันสมัยขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

Advertisment

ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ ๆ ด้วยการขยายแพลตฟอร์มท้้งในส่วนของมาร์เก็ตเพลซ และโซเชียลคอมเมิร์ซ เพื่อเพิ่มรายได้จากช่องทางออนไลน์ จากปัจจุบันที่บริษัทมีการจำหน่ายสินค้าผ่านลาซาด้า ช้อปปี้ เจดี เซ็นทรัล โดยสามารถยอดขายได้ประมาณ 5% จากยอดขายรวม และสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการทำกิจกรรมการทำตลาด เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผ่านการจัดบูทชวนชิม โดยมีพนักงานเชียร์ขายในร้านค้าโดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ควบคู่กับการใช้สื่อประชาสัมพันธ์สื่อสารแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

“ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายรวมแบ่งเป็น ช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 40% ตามด้วยร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม 40% ช่องทางพิเศษ ที่ไม่ได้ขายผ่านช่องทางร้านค้า เช่น การออกบูทขายผลิตภัณฑ์ตามงานต่าง ๆ รวมถึงการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า 11% และช่องทางอีคอมเมิร์ซ 9%”

Advertisment

นายไกรฤทธิ์ย้ำว่า นอกจากตลาดในประเทศแล้ว บริษัทยังเน้นการทำตลาดในประเทศซีแอลเอ็มวีมากขึ้น ซึ่งมาตรการล็อกดาวน์ของหลาย ๆ ประเทศ กลุ่มปลากระป๋องและอาหารสำเร็จรูป กลายเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันและได้รับการตอบรับมากขึ้น โดยในส่วนของกัมพูชา ที่ผ่านมาได้เร่งกระจายสินค้าให้ครอบคลุมช่องทางการขายควบคู่กับการจัดกรรมส่งเสริมการขายอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้ร้านค้าต่าง ๆ เริ่มมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ และเริ่มสต๊อกสินค้ากลุ่มปลาในซอสมะเขือเทศเพิ่มขึ้น

ขณะที่ลาวยอดขายจากกลุ่มสินค้าปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศและหอยลายเติบโตค่อนข้างดี ร้านค้าต่าง ๆ มีการสั่งออร์เดอร์เพิ่มขึ้น ส่วนในเมียนมา ที่ตลาดมีการแข่งขันสูง ทั้งจากผู้ผลิตสินค้าภายในประเทศและสินค้าที่ส่งออกไปจากไทย บริษัทก็ได้มีการต้องหันมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องมากขึ้น

“ปีนี้ในภาพรวม เราตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายไว้ 10% จากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดประเทศในช่วงปลายปี จะช่วยให้เศรษฐกิจ การจับจ่ายค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น” นายไกรฤทธิ์กล่าว