สภากาชาดไทย แจงปมดีล โมเดอร์นา ยันไม่ค้ากำไร ฉีดประชาชนไม่คิดเงิน

FILE PHOTO: REUTERS/Kai Pfaffenbach

สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์แจงปมซื้อ “โมเดอร์นา” 1 ล้านโดส หลังนักวิชาการอิสระพาดพิงค้ากำไรจากวัคซีน ระบุใช้งบตัวเอง ไม่คิดราคาสูงกว่าต้นทุน ท้าตรวจสอบราคาซื้อจาก อภ.

วันที่ 6 ตุลาคม 2564 สภากาชาดไทยออกแถลงการณ์ชี้แจงการจัดหาวัคซีนโมเดอร์นาผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก หลังจากก่อนหน้านี้ถูกตั้งคำถามค้ากำไรจากวัคซีน โดยระบุว่า

ตามที่มีสื่อมวลชนบางสำนักได้เสนอข่าว เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 โดยอ้างอิงข้อความในเฟซบุ๊กของผู้ใช้นาม Sarinee Achavanuntakul – สฤณี อาชวานันทกุล ซึ่งเขียนข้อความทำนองว่าสภากาชาดไทยใช้เงินของตัวเองจองโควตาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna ผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อนำมาขายต่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศนั้น

ข้อความและข่าวดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อการดำเนินงานของสภากาชาดไทย ดังนั้น สภากาชาดไทยจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

1.สภากาชาดไทยเป็นองค์กรการกุศลที่มีรายได้เป็นเงินบริจาคจากพี่น้องประชาชน และได้รับเงินงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสภากาชาดไทยไม่ได้เป็นหน่วยงานภาครัฐโดยตรง

2.เดือนเมษายน 2564 ท่ามกลางสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่มีการระบาดรุนแรงมากขึ้น สภากาชาดไทยได้ริเริ่มจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชน โดยได้ติดต่อกับหน่วยงานกาชาดในต่างประเทศ และบริษัทผู้จำหน่ายวัคซีนเพื่อจัดหาหรือขอซื้อวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนตามภารกิจของสภากาชาดไทย

3.ผลการประสานงานกับ บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายวัคซีนโมเดอร์นาในประเทศไทย ได้ตกลงจะขายวัคซีน จำนวน 1 ล้านโดส ให้แก่สภากาชาดไทย แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องซื้อผ่านหน่วยงานของรัฐ คือ องค์การเภสัชกรรม จึงจะขายให้ได้เพราะเป็นนโยบายของบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกา

4.องค์การเภสัชกรรมได้คิดราคาขายวัคซีนให้แก่สภากาชาดไทย จำนวน 1 ล้านโดส ในราคาโดสละ 1,100 บาท โดยสภากาชาดไทยได้ใช้งบประมาณของสภากาชาดไทยในการสั่งซื้อวัคซีนดังกล่าว จำนวน 100,000 โดส เพื่อมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดสภากาชาดไทยไปบริการฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งได้เชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จำนวน 12 แห่ง ร่วมซื้อด้วย รวมจำนวน 150,000 โดส

นอกจากนี้ สภากาชาดไทยได้เชิญชวนให้ อบจ.ทั้ง 76 จังหวัด มาร่วมกับสภากาชาดไทยในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัดโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งปรากฏว่ามี อบจ.จำนวน 38 จังหวัด แสดงความจำนงขอร่วมกับสภากาชาดไทยในการซื้อวัคซีนจำนวน 750,000 โดส จากองค์การเภสัชกรรมผ่านสภากาชาดไทย โดยไม่มี อบต.เข้าร่วมโครงการนี้

5.สภากาชาดไทยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดหาวัคซีนให้หน่วยงานในสังกัดและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงเรียนแพทย์ และ อบจ. จำนวน 38 จังหวัด เพื่อนำวัคซีน รวม 1 ล้านโดส มาฉีดให้กับประชาชน โดยไม่คิดมูลค่าเท่านั้น ไม่ได้เป็นการนำวัคซีนมาขายต่อโดยเรียกเก็บเงินค่าวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) เกินกว่าราคาโดสละ 1,100 บาท ที่ซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรมแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้สภากาชาดไทยได้ประกาศเปิดเผยต่อสาธารณชนมาตลอด สามารถตรวจสอบราคาที่สภากาชาดไทยซื้อได้จากองค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมและบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด แจ้งว่าจะเริ่มทยอยส่งวัคซีนให้สภากาชาดไทยและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป

6.ในเดือนมิถุนายน 2564 ศูนย์บริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ทำเนียบรัฐบาล ได้มีคำสั่งให้หน่วยงานด้านการแพทย์ ซึ่งรวมถึงสภากาชาดไทยด้วยให้เร่งรัดจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง สภากาชาดไทยจึงได้มีหนังสือถึงรัฐบาลขอรับการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนให้แก่สภากาชาดไทยจำนวน 946 ล้านบาท เพื่อนำไปจองซื้อวัคซีนโมเดอร์นารุ่นใหม่ ในปี 2565 จำนวน 1 ล้านโดส โดยมีแผนดำเนินงานเพื่อนำวัคซีนมาให้หน่วยงานในสังกัดสภากาชาดไทย นำไปฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าเช่นกัน

ดังนั้น การจัดหาวัคซีนของสภากาชาดไทยทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการแรก จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งใช้งบประมาณของสภากาชาดไทย หน่วยงานทางการแพทย์ และ อบจ. ในการจัดซื้อวัคซีนซึ่งจะเริ่มฉีดให้แก่ประชาชนในปี 2564 เป็นต้นไป และโครงการที่ 2 จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งใช้งบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลนั้น จะนำไปฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าในปี 2565 จึงไม่ได้เป็นการนำวัคซีนดังกล่าวไปแสวงหากำไรด้วยการนำไปขายต่อให้แก่ อบจ. หรือองค์กรใด ๆ ในราคาสูงกว่าต้นทุนที่สภากาชาดไทยจ่ายให้แก่องค์การเภสัชกรรมแต่อย่างใด

จึงเห็นได้ว่าสภากาชาดไทยได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ในการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชน โดยไม่คิดมูลค่าเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งสภากาชาดไทยยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการใช้งบประมาณของสภากาชาดไทยในการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค ที่เรียกว่า ชุดธารน้ำใจสภากาชาดไทย ไปมอบให้กับประชาชนที่มีรายได้ไม่เพียงพอและต้องกักตนเองที่บ้านพัก หรือที่ทางราชการจัดสถานที่ไว้ให้พักเป็นเวลา 14 วัน (local and state quarantine) ตั้งแต่การระบาดรอบเเรก เมื่อเดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ผ่านเหล่ากาชาดจังหวัดทั่วประเทศ รวมมูลค่ากว่า 250 ล้านบาทแล้ว

นอกจากนี้ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา สภากาชาดไทยยังได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันแห่งชาติ (สปสช.) หน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชนจัดทำโครงการให้คำปรึกษาด้านการรักษาพยาบาลผ่านระบบโทรศัพท์ (telemedicine) ให้แก่ผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการไม่รุนแรงซึ่งพักอยู่ที่บ้าน (home isolation) รวมทั้งจัดบริการส่งยาฟาร์วิพิราเวียร์และอาหารให้แก่ผู้ป่วยดังกล่าวแล้วไม่น้อยกว่า 16,000 ราย