ซีอาร์ซีทุ่ม 3.1 หมื่นล้าน ปั้น “ดิจิทัลรีเทล” ตอบโจทย์ลูกค้ายุค 5.0

“ซีอาร์ซี” ไม่หวั่นไตรมาส 3 ขาดทุน 2,220 ล้านบาท เดินหน้าทุ่ม 31,000 ล้านบาท สร้าง Central Retail Ecosystem เชื่อมออฟไลน์-ออนไลน์ครบวงจร สยายปีกไทย-เวียดนาม-อิตาลี พร้อมลุยกลุ่มแฟชั่น-ชูไทวัสดุธุรกิจเรือธงด้านฮาร์ดไลน์ ทรานส์ฟอร์มสู่การเป็นดิจิทัลรีเทล ในปี 2568

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยว่า เซ็นทรัล รีเทล ได้ปรับองค์กรครั้งใหญ่ และระบบการทำงานเป็น Omni-Centric พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงานเป็นแบบ Digital First ในทุกมิติของการทำธุรกิจ เพื่อทรานส์ฟอร์มสู่การเป็นดิจิทัลรีเทล

ญนน์ โภคทรัพย์
ญนน์ โภคทรัพย์

โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ขับเคลื่อนองค์กรผ่านแผนงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาระบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในการนำธุรกิจในเครือทั้งหมด 14 ธุรกิจ ขึ้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์สำเร็จ ในระยะเวลาเพียง 17 เดือน โดยมียอดดาวน์โหลด Central App ทะลุเกือบ 4 ล้านรายในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี และมียอดขายผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยปัจจุบันยอดขายผ่านออมนิแชนเนลเป็นสัดส่วนถึง 20% ของยอดขายรวมทั้งหมด

ขณะที่จำนวนลูกค้าผ่านช่องทางออมนิแชนเนลเพิ่มขึ้นกว่า 600% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลูกค้าออมนิแชนเนลมียอดใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าที่ซื้อผ่านช่องทางเดียวถึง 5 เท่า นอกจากนี้ยังมีการขยายพื้นที่ และปรับปรุงแพลตฟอร์มออฟไลน์ทั้งหมดกว่า 3.2 ล้านตารางเมตร ใน 3 ประเทศ ให้เป็น Omni-Lifestyle store เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการช็อปปิ้งของลูกค้า

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยการเน้นย้ำ 4 ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัลรีเทล ได้แก่ 1.ดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจนในการเป็น Central to Life หรือศูนย์กลางชีวิตของผู้คน 2.สร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ และปลูกฝังแนวคิดแบบ Digital First โดยให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลมากกว่า 50,000 คน และปรับระบบการทำงานให้เป็น Omni-Centric ตอบโจทย์ลูกค้าในยุค 5.0

3.ลงทุนกว่า 31,000 ล้านบาท ในการพัฒนา Central Retail Ecosystem ที่แข็งแกร่ง และแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทั้ง 3 ประเทศ ที่เชื่อมทั้งออฟไลน์ทและออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์-ออฟไลน์ โดยมีการขยาย ปรับปรุง และเสริมเทคโนโลยี เช่น ระบบโรโบติกส์, AI รองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ พร้อมสร้างระบบ Smart Cashless Payment ที่ครบวงจร ผ่านแอปพลิเคชั่น Dolfin Wallet โดยสร้างมาตรฐานว่าหากลูกค้ามาหาเราได้ใน 1 ชั่วโมง เซ็นทรัล รีเทล ก็ต้องส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมงเช่นกัน

และ 4.ปรับเปลี่ยน Portfolio อย่างมีกลยุทธ์ สู่ธุรกิจที่มีการเติบโตเร็วและยั่งยืน ทั้งกลุ่มแฟชั่น เพื่อเดินหน้าสู่การเป็น Destination ที่รวบรวมพรีเมี่ยมแบรนด์ระดับโลก พร้อมใช้เครือข่ายของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล ยุโรป เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยมไลฟ์สไตล์ และกลุ่มฮาร์ดไลน์ และฟู้ด โฟกัสไปที่ตลาดแมสมากขึ้น และขยายทั้งในไทยและเวียดนาม

โดยมีไทวัสดุเป็นธุรกิจเรือธงด้านฮาร์ดไลน์ พร้อมทั้งเปิดตัวโมเดลร้านค้าแบบ Daily Home Convenience เพื่อตอบโจทย์การใช้บริการสำหรับลูกค้าทุกคนทุกที่ทุกเวลา ผ่าน go! WOW สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของทุกองค์กร แต่ก็ยังสามารถเดินหน้าธุรกิจ และก้าวผ่านวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่ง และยืดหยุ่น โดยมีแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลเป็นอาวุธหลักที่ทำให้ลูกค้ายังคงสามารถจับจ่ายได้อย่างสะดวกสบายและได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ห้างร้านในเครือในประเทศไทยถูกปิดไปกว่า 51 วัน และในประเทศเวียดนามถูกปิดไปเกือบทั้งไตรมาสจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ของเซ็นทรัล รีเทลมีรายได้รวม 41,482 ล้านบาท (-10.6% QOQ) EBITDA 2,541 ล้านบาท (-37.8% QOQ) โดยในปีนี้ก็ยังมีการขยาย และปรับปรุงแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในศูนย์การค้า ซึ่งมีผลกระทบต่อกำไรชั่วคราวในไตรมาส 3 ทำให้ขาดทุนสุทธิ 2,220 ล้านบาท

“จากนี้ยาวไปจนถึงปีหน้า เราเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่องหลังเห็นสัญญาณบวกจากการเปิดประเทศ และผลตอบรับที่ดีมากของลูกค้าที่กลับมาใช้บริการในห้างร้านของเรา บนมาตรการความสะอาดและปลอดภัยที่เข้มข้นยกระดับ โดยเห็นได้จากบรรยากาศการชHอปปิ้งที่คึกคักต้อนรับช่วงไฮซีซั่น และทราฟฟิกที่กลับมาอย่างรวดเร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้เซ็นทรัล รีเทลยังเตรียมแผนเดินหน้าขยายตลาดเต็มที่ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี พร้อมปักธงสู่การเป็น ‘ดิจิทัลรีเทล’ ระดับโลก ภายในปี 2568”