เรดเอิร์ธ Come Back คืนสังเวียนเครื่องสำอาง 2 หมื่นล้าน

ห่างหายไปพักใหญ่ สำหรับแบรนด์เครื่องสำอาง “เรดเอิร์ธ” แม้จะเพิ่งหมดสัญญากับค่ายผู้นำเข้าเดิมอย่างเครือไมเนอร์กรุ๊ปไปเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ในสายตาของผู้บริโภค ดูเหมือนว่าแบรนด์ดังกล่าวจะอยู่นิ่ง ๆ มานานมาก

ถึงกระนั้นยอดขายเฉลี่ยต่อปีก็สูงถึง 70-80 ล้านบาท แม้ไม่ได้ออกมาแอ็กติเวตด้านการตลาดมากนัก แสดงถึงฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น และชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ด้วยเหตุผลนี้ “เพียงพร สุวรรณประทีป” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พิงค์ พีโอ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางเรดเอิร์ธ ลูกหม้อเก่าจากไมเนอร์ฯ ที่คร่ำหวอดในธุรกิจเครื่องสำอางมากว่า 12 ปี ได้เล็งเห็นโอกาสที่เกิดขึ้น จึงนำเรดเอิร์ธกลับเข้ามาทำตลาดอีกครั้ง

พร้อมภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ทางโกลบอลได้ปรับใหม่ในรอบ 20 ปี ให้มีความทันสมัย เน้นความเป็นธรรมชาติ อันเป็นดีเอ็นเอหลักของแบรนด์มาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นแพ็กเกจจิ้งสีสันของเคาน์เตอร์ ตัวสินค้าทั้งเมกอัพ และสกินแคร์ ฯลฯ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงทุกวัย เริ่มตั้งแต่วัยรุ่น นักศึกษาขึ้นไปจากที่แบรนด์มักสื่อสารในด้านของเมกอัพ สีสัน ความเป็นแฟชั่นเป็นหลัก

เพียงพร” ระบุว่า การกลับมาคราวนี้จะต้องทำให้แบรนด์เรดเอิร์ธเปรี้ยงปังกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง Pricing Strategy ให้ถูกลงกว่า 15-20% โดยมีราคาสินค้าเริ่มตั้งแต่ 550-1,590 บาท เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ได้ง่าย และสามารถแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น พร้อมกับเตรียมงบฯลงทุนในปีแรก 20 ล้านบาท รองรับการขยายสาขา และการทำตลาด ที่ ทั้งอะโบฟเดอะไลน์ ผ่านแมกาซีนบีโลว์เดอะไลน์ ผ่านกิจกรรม เวิร์กช็อป โปรโมชั่น ฯลฯ ตลอดจนช่องทางออนไลน์ ผ่านเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม เพื่อสื่อสาร และสร้างอะแวร์เนสของแบรนด์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นทั้งในกลุ่มลูกค้าเก่า และใหม่

โดยหลังจากได้รับสิทธิ์ทำตลาดอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันเรดเอิร์ธมีสาขาทั้งสิ้น 7 สาขา อาทิ พารากอน สนามบินดอนเมืองขาออก เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลชิดลม ฯลฯ มีสินค้าที่นำเข้ามาแล้ว 40 รายการ คาดว่าจะนำเข้ามาครบคอลเล็กชั่นหรือประมาณ 70 รายการได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ แบ่งเป็นกลุ่มเมกอัพ 70% สกินแคร์ 30% และภายใน 5 ปีจะทยอยเปิดสาขาให้ครบ 17 สาขา และคาดว่าเวลานั้นจะมีรายได้อยู่ที่ 200 ล้านบาท

ก่อนจะมีแผนนำเข้าแบรนด์ใหม่เสริมทัพให้ครอบคลุมความต้องการของสาวไทยมากขึ้นอีก 3 แบรนด์ภายในปีหน้า เน้นเฉพาะกลุ่มเคาน์เตอร์แบรนด์ แบ่งเป็นแบรนด์เมกอัพจากสวิตเซอร์แลนด์ แบรนด์สกินแคร์จากญี่ปุ่น และอีก 1 แบรนด์อยู่ระหว่างพิจารณา

ตลาดเครื่องสำอางไทย ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเติบโตลดลง เพียงแต่จะโตมากหรือน้อยเท่านั้น ขึ้นอยู่กับแบรนด์ว่ามีสินค้าใหม่ ออกมาทำตลาดบ่อยแค่ไหน ทำให้การแข่งขันค่อนข้างรุนแรง ทั้งการเปิดตัวคอลเล็กชั่น การส่งเสริมการขายรูปแบบต่าง ๆ การบริการ ฯลฯ

โดยเฉพาะตลาดเคาน์เตอร์แบรนด์มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ที่ “เพียงพร” ต้องการเข้าไปแชร์ส่วนแบ่ง ด้วยการสรรหาแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ แตกต่างจากคู่แข่งทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้าเอง หรือแพ็กเกจจิ้ง ที่โดดเด่น ซึ่งเป็นจุดดรอว์ลูกค้าให้เข้ามาทดลองใช้ จากนั้นคุณภาพของสินค้าและมาร์เก็ตติ้งจะเป็นส่วนที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงตลาดเครื่องสำอางในประเทศที่เป็นเป้าหมายของ “พิงค์ พีโอ” ตลาดเออีซี ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่มีศักยภาพ ซึ่ง “เพียงพร” ยอมรับว่าได้แพลนเอาไว้ว่าจะมีการพูดคุยกับเจ้าของแบรนด์เพื่อขอสิทธิ์ในอนาคตด้วยเช่นกัน