โอมิครอนฉุดดัชนีค้าปลีกวูบ จี้รัฐเร่งเพิ่มมาตรการฟื้นเศรษฐกิจ

ค้าปลีก

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้โอมิครอนกระทบกำลังซื้อช่วงปีใหม่ ฉุดดัชนีค้าปลีก ธ.ค. 64 แค่กระเตื้องหลังมู้ดจับจ่ายซึมยาว แนะรัฐเร่งเปิดมาตรการเยียวยา พร้อมเปิดมาตรการปลุกเศรษฐกิจมากกว่า 1 ครั้งต่อปี ปลุกเม็ดเงินสะพัดเพิ่มกว่าแสนล้านบาท

ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจความเชื่อมั่น (retail sentiment index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนธันวาคม 2564 ต้องยอมรับว่า ไม่สดใสเท่าที่ควร เนื่องจากการแพร่ของโอมิครอนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น และเกรงว่าภาครัฐจะกลับมาประกาศมาตรการการควบคุมอย่างเข้มงวดอีกครั้ง แม้จะมีการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิม same store sale growth (SSSG) แต่ก็เกิดจากความถี่ในการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และยอดซื้อต่อบิล spending per bill หรือ per basket size เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นเป็นหลัก ไม่ใช่เกิดจากกำลังซื้อที่แท้จริง สะท้อนว่ายังต้องการแรงกระตุ้นจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมเรื่องการยกเลิกกิจกรรมข้ามปีของบางพื้นที่ ที่ส่งผลให้การจับจ่ายปลายปีต้องชะงัก ขณะที่ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่เพิ่มมากขึ้น และมาตรการของภาครัฐที่ไม่ชัดเจนในการควบคุมการแพร่ระบาดของโอมิครอน

ทั้งนี้มีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก retail sentiment index (RSI) เดือนธันวาคมอยู่ที่ 68.4 ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 6 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนพฤศจิกายนที่ 62.1 สะท้อนถึงมู้ดของการจับจ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ปลายปีนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลง 4 จุด จากระดับ 69.7 ในเดือนพฤศจิกายน มาที่ 65.1 เดือนธันวาคม สะท้อนถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอนที่กระจายในหลายจังหวัด (สำรวจระหว่างวันที่ 17-24 ธันวาคม 2564)

2.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากมาตรการผ่อนปรนความเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดที่ชัดเจนขึ้น และการที่ประชาชนเริ่มท่องเที่ยวในประเทศตามภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น

3.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเมื่อจำแนกตามประเภทร้านค้าปลีกเปรียบเทียบระหว่างเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม พบว่า เพิ่มขึ้นทุกประเภทร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า จากบรรยากาศการจับจ่ายช็อปปิ้ง ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมายเนื่องจากผู้บริโภครอความหวังจากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ควรเกิดในปลายปี 2564 แต่เลื่อนเป็นต้นปี 2565 แทน

ขณะที่ในส่วนของกำลังซื้อและแนวโน้มการแพร่ระบาดไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนจากมุมมองผู้ประกอบการในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่าในส่วนของยอดขายเพิ่มขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา มาจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.มาตรการการกระตุ้นการจับจ่ายภาครัฐ 2.การจัดโปรโมชั่นของร้านค้า และ 3.การขายผ่านออนไลน์ ขณะเดียวกันก็ยังมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอนที่อาจจะกระทบต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว ประชาชนงดการทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือแม้กระทั่งกังวลต่อมาตรการที่อาจต้องล็อกดาวน์

นอกจากนี้ในฝั่งของผู้ประกอบการได้มีการเตรียมแผนงานรองรับหากมีการแพร่ระบาดของโอมิครอนทวีความรุนแรงต่อเนื่อง พบว่า 63% ขายผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น, 40% ลดค่าใช้จ่าย ลดการจ้างงาน, 30% ดำเนินธุรกิจตามปกติ เว้นแต่ภาครัฐสั่งให้ปิด นอกจากนี้ยังขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ เพิ่มการลดหย่อนภาษีและลดภาระค่าใช้จ่าย 58% เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง 55% ช่วยจ่ายค่าจ้างแรงงาน 43%

รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของทางสมาคม อยากย้ำ 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ เพื่อรับมือกับการระบาดของโอมิครอน ไม่ว่าจะเป็น 1.ยกระดับความพร้อมของระบบสาธารณสุข 2.มีมาตรการเชิงรุกสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดให้มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด หากมีการระบาดในแต่ละพื้นที่ รัฐควรมีการปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์เท่านั้น

3.ช่วยภาคเอกชนและประชาชนลดค่าใช้จ่าย โดยช่วยลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดเงินสมทบประกันสังคม ภาษีป้าย รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไม่มีการค้ำประกัน และพิจารณา ลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการทั้งที่เกี่ยวข้องกับโควิดทางตรงและทางอ้อม

4.ผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่อเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ ช้อปดีมีคืน ควรทำเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ครั้งต่อปี เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบรวมกันกว่าแสนล้านบาทตลอดปี

“จะเห็นได้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องของภาครัฐถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ SMEs และภาคธุรกิจไทยได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มการจ้างงาน และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างต่อเนื่องการร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของทุกภาคส่วนจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยไปต่อให้ได้ เราไม่สามารถที่จะกลับไปอยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนในปี 2564 ที่ทุกอย่างหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นการลดการแพร่ระบาดของโอมิครอนให้กระจายอยู่เพียงในวงจำกัด และกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังขยับตัวดีขึ้นให้น้อยที่สุด จึงเป็นทางออกเดียวของเราทุกคน”