โอสถสภา จับมือพันธมิตรจากญี่ปุ่น “โคอิเคยะ” ลุยตลาดขนมขบเคี้ยว ประกาศขน 3 แบรนด์ “คารามูโจ้-สคอร์น-สตรอง” บุกเทรดิชั่นนอลเทรด-โมเดิร์นเทรด 4 แสนจุด ตั้งเป้าเติบโต 30%
นายสรายุทธ จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการสายการขาย-ประเทศไทย บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โอสถสภาได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวสัญชาติญี่ปุ่น แบรนด์คารามูโจ้ และสคอร์น ในเครือโคอิเคยะผู้บุกเบิกตลาดมันฝรั่งทอดกรอบในญี่ปุ่น
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
โดยบริษัทจะเข้าไปบริหารการจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายร้านค้าปลีกดั้งเดิม (traditional trade) และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) อย่างแม็คโคร ซึ่งเครือข่ายค้าปลีกเหล่านี้จะช่วยกระจายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และสร้างการเติบโตให้แก่ขนมขบเคี้ยวแบรนด์คารามูโจ้ สคอร์น และสตรอง ในประเทศไทย
“การจับมือกับโคอิเคยะนั้นสอดคล้องกับแผนรุกขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ และนำศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งมาต่อยอดให้แก่ธุรกิจ
โดยผลักดันสินค้าของพันธมิตรเข้าไปยังกลุ่มผู้บริโภคผ่านเครือข่ายร้านค้ากว่า 400,000 จุดทั่วประเทศของโอสถสภา รวมถึงหน่วยรถจำหน่ายสินค้า และห้างค้าปลีกท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดขนมขบเคี้ยวเป็นครั้งแรกของโอสถสภาด้วย”
ด้านนายโคมิเนะ สึโยชิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคอิเคยะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันโคอิเคยะเข้าทำตลาดขนมขบเคี้ยวผ่านสินค้า 3 แบรนด์ ได้แก่ คารามูโจ้ สคอร์น และสตรอง
โดยชูจุดเด่นด้านรสชาติเผ็ดและเข้มข้นเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในหลายประเทศทั่วโลก จนมีการพัฒนาต่อยอดสินค้าในหลายรสชาติและหลายรูปแบบ อย่างไรก็ดี การจับมือกับโอสถสภาขยายเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่ายนั้น เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสการเติบโตของแบรนด์ในตลาดประเทศไทย
และเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเครือข่ายช่องทางการจำหน่ายของโอสถสภา ซึ่งจะช่วยให้กระจายสินค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุกช่องทางมากยิ่งขึ้น และยังผลักดันให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมาย ก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ 30%