แอลจี เชื่อตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ายังแกร่ง หลังรายได้ปี 64 โตทุบสถิติอีก

ยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและทีวีระดับพรีเมียม เช่น ทีวี OLED ที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยผลักดันหลัก

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ ประเทศเกาหลีใต้ ประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ทีวีพรีเมียมในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง พร้อมลุยปรับโครงสร้างต้นทุนของบริษัทให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความท้าทายใน ปี 2565 นี้

หลังผลการดำเนินงานประจำปี 2564 ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ ด้วยยอดขายทั้งปีสูงกว่า 63.16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.08 ล้านล้านบาท) เติบโตขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับปี 2563 เช่นเดียวกับยอดขายประจำไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยรายได้ 17.76 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.86 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 20.7% จากไตรมาสที่สี่ของปี 2563

โดยมีแรงหนุนหลักมาจากยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านระดับพรีเมียม และทีวี OLED ที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ มีรายได้ในปี 2564 ที่ 22.92 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.56 แสนล้านบาท) เติบโตขึ้น 21.7% จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว มีสินค้าหมวดใหม่ๆ อย่าง ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพอนามัย เป็นตัวขับเคลื่อน

เช่นเดียวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งมีผลกำไรจากการดำเนินงาน 929.68 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.07 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนถึงความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ทีวีพรีเมียม เช่น ทีวี OLED และทีวีจอใหญ่ที่เพิ่มสูงขึ้นในยุโรปและอเมริกาเหนือ และการตอบสนองดีมานด์ดังกล่าวของบริษัท

อย่างไรก็ตามสภาวะต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ผลกำไรของยักษ์อีเลคทรอนิคส์ลดลง โดยผลกำไรจากการดำเนินงานทั้งปี 2564 ลดลง 1% เป็น 3.27 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.08 แสนล้านบาท) ส่วนกำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสที่สี่อยู่ที่ 572.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.89 หมื่นล้านบาท) ลดลง 21.4 %เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ มีกำไรจากการดำเนินงานมูลค่า 1.88 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 6.20 หมื่นล้านบาท) ลดลง 2.9%

ส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ ต่างได้รับผลกระทบจากปัญหานี้เช่นกัน โดยผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ มีรายได้เพิ่มขึ้น 24% ในปี 2564 อยู่ที่ 6.08 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.01 แสนล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 และนับเป็นครั้งแรกที่มีรายได้เกิน 7 ล้านล้านวอน

แต่รายได้ประจำไตรมาสที่สี่ลดลง 12.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 1.42 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.69 หมื่นล้านบาท) เป็นผลจากตลาดยานยนต์ทั่วโลกประสบปัญหาการหยุดชะงักจากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์

ด้านกลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กร มีรายได้ประจำปี 2564 ที่ 5.89 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.94 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 15.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ต้นทุนวัสดุและความท้าทายในห่วงโซ่อุปทานที่สูงขึ้น ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานประจำปีที่ 121.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.03 พันล้านบาท)


ส่วนรายได้ในไตรมาสที่สี่เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2563 คิดเป็น 1.46 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.82 หมื่นล้านบาท) เนื่องจากความต้องการซื้อพีซีและจอเกมมิ่งระดับพรีเมียมที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้นและการชะลอตัวของยอดขายแผงโซลาร์เซลล์ อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ยังมีส่วนทำให้มีรายได้จากการดำเนินงานประจำไตรมาสลดลง 29.67 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9.79 ร้อยล้านบาท)