GAMBOL รองเท้าสัญชาติไทย ส่งไม้ต่อเจน 2 ทะยานโกลบอลแบรนด์

แกมโบล ทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ส่งไม้ต่อเจน 2 ทะยานโกลบอลแบรนด์

ย่างเข้าสู่ปีที่ 53 สำหรับ “แกมโบล” รองเท้าแบรนด์ดังสัญชาติไทย แต่ผลพวงจากการระบาดของโควิด-19 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้แกมโบลต้องเผชิญมรสุมเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ประกอบกับช่วงของการเปลี่ยนผ่านทายาทจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ต้องมีการปรับแผนงานครั้งใหญ่

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นิติ กิจกำจาย” ผู้อำนวยการ บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด ทายาทผู้ทำหน้าที่เชื่อมการทำงานผ่านการส่งไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่น จากเจน 1 สู่เจน 2 กับภารกิจทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ยุคดิจิทัล เพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการระบาดของโควิด-19 พร้อมอัพเดตแผนงานใหม่นับจากนี้

“นิติ กิจกำจาย” เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการฉายภาพธุรกิจตลอดช่วงการระบาดของโควิดที่ผ่านมา ภาพรวมกระทบยอดขายบ้างเล็กน้อยจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง และปีที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับแผนงาน

โดยเฉพาะการต่อยอดในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ควบคู่กับการเพิ่มน้ำหนักการทำตลาดในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ก็หันมาโฟกัสการทำงานการควบคุมต้นทุนการผลิต จากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น ฯลฯ ทำให้ในปี 2564 สามารถพลิกกลับมาบวกได้เป็นตัวเลขหนึ่งหลักจากปี 2563 ที่สถานการณ์ค่อนข้างวิกฤต

“หัวใจหลักของการขายสินค้าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องของราคาขาย เราในฐานะคนขายก็ปรับมากไม่ได้ เพราะคนซื้อเองก็แทบไม่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว และการจะผลักภาระให้ผู้บริโภคไม่ใช่เรื่องที่ถูก

ดังนั้น เราต้องมาบีบตัวเองให้ถึงที่สุดก่อน และเมื่อไม่ไหวถึงจะมีการปรับราคาเพิ่ม โดยเดือน พ.ย. 64 ที่ผ่านมา จากราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นก็ทำให้มีการปรับราคาบ้างเล็กน้อย”

ขณะที่แนวโน้มในปีนี้มองว่าภาพรวมธุรกิจเริ่มมีสัญญาณบวกให้เห็นแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา หลังจากประชาชนเริ่มปรับวิถีชีวิตในการอยู่ร่วมกับโควิดได้ แม้จะยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควรเพราะมีเรื่องของกำลังซื้อที่ชะลอตัวอยู่

ขณะที่เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบที่ยังไม่มีมากนัก แต่เชื่อว่าในปีนี้ภาพรวมตลาดจะกลับมาบวกอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีการระบาดของโอมิครอนอยู่ แต่โดยส่วนตัวมองว่าหลังจากต้องอยู่ร่วมกับโควิดมาตลอด 2 ปี เชื่อว่ารู้จักกับสถานการณ์มากพอสมควร และสามารถปรับตัวเพื่อรับมือได้

ปี’65 แห่งการทรานส์ฟอร์ม

ทายาทแกมโบลเล่าต่อไปว่า ด้านแผนงานหลักในปี 2565 ยังคงเน้นการทำงานเพื่อสานต่อโปรเจ็กต์ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการโฟกัสออนไลน์ ขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

รวมไปถึงการคอลแลบส์กับพันธมิตรต่าง ๆ ในการเปิดตัวสินค้าคอลเล็กชั่นพิเศษ แต่ความพิเศษของแผนการดำเนินธุรกิจหลักในปีนี้ คือ การจะได้เห็นบิ๊กมูฟของแกมโบลกับการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญนั่นคือทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่ความเป็นองค์กรดิจิทัลครั้งใหญ่ในรอบ 53 ปี อีกทั้งยังเป็นการปรับแบรนด์อิมเมจให้ดูพรีเมี่ยมแมสในราคาจับต้องได้ที่เริ่มต้น 300 บาท

“ที่ผ่านมาเราเน้นช่องทางการขายส่ง พอมาเจอสถานการณ์ล็อกดาวน์ และคน WFH ก็เลยมองว่าจำเป็นต้องทำอย่างจริงจังแล้ว เพราะคนอยู่บ้านมากขึ้น พฤติกรรมการช็อปปิ้งก็เปลี่ยนไป และโควิดก็เข้ามาเร่งให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ซึ่งหัวใจสำคัญของการทรานส์ฟอร์มองค์กรในปีนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการขยายไปช่องทางออนไลน์มากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นปีแห่งการทรานส์ฟอร์มหรือปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อก้าวสู่ยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการวางระบบโปรแกรมใหม่ การทำระบบเชื่อมโยง ฐานข้อมูลต่าง ๆ

เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการผลิตด้วยการตั้งบริษัทใหม่อย่าง “บริษัท บิ๊กสตาร์ อีคอมเมิร์ซ จำกัด” ขึ้นมาดูแล ภายใต้การดูแลของทายาทเจน 2 เพื่อดูแลธุรกิจออนไลน์งานขายต่าง ๆ ของบริษัทโดยเฉพาะ

รวมถึงใช้ในการมองหาโอกาสทางการเติบโตในธุรกิจใหม่ ๆ ของบริษัท โดยปลายไตรมาส 1/2565 จะเห็นความคืบหน้าอีคอมเมิร์ซของบริษัทชัดเจนขึ้น โดยวางเป้าหมายธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้มีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 5%ของยอดขายในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ ซึ่งที่ผ่านมาช่องทางอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตตั้งแต่ดับเบิลดิจิตไปจนถึง 100% ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

“แม้เราจะมีการขายในช่องทางออนไลน์อยู่แล้วตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่ตอบโจทย์การซื้อขายมากนัก ดังนั้น ปีนี้จึงหันมาวางระบบหลังบ้านต่าง ๆ

เพื่อให้ตอบโจทย์มากขึ้นทั้งด้านการซื้อ-ขาย โปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ และยังมีเป้าหมายในการเป็นมาร์เก็ตเพลซด้วยการเปิดพื้นที่ขายให้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาวางจำหน่ายด้วย”

ทั้งนี้ มองว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในครั้งนี้เป็นเหมือนการเชื่อมการทำงานของคน 2 รุ่นเข้าด้วยกันซึ่งเราอยู่ในเจน 1 แต่ทว่าอายุเราเทียบเท่ากับเจน 2 ทำให้เราเป็นตัวเชื่อมการทำงานระหว่างคนสองยุค

โดยมีการนำเอาจุดเด่นของเจน 1 ด้านแนวคิดของความค่อย ๆ คิด ไม่วู่วาม ค่อย ๆ ต่อยอด มาผสานกับเทคโนโลยี ความว่องไวของเจน 2 เพื่อให้การทำงานในบริษัทด้วยการนำข้อได้เปรียบของทั้งสองฝั่งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการก้าวสู่ยุคใหม่ขึ้น

ขณะที่ในส่วนของออฟไลน์แล้วปีนี้บริษัทจะเน้นการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีมากขึ้น เนื่องจากมองว่าช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมากำลังซื้อในแถบเพื่อนบ้านมีมากกว่าไทยขณะที่ไทยกำลังซื้อหาย แต่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านกลับมีการจับจ่ายสูงขึ้น โดยจะเลือกเข้าไปทำตลาดที่กัมพูชาก่อนเพราะมองว่ามีศักยภาพและอยู่ใกล้กับประเทศไทย

ผนึกลิเวอร์พูลคลอดสินค้าพิเศษ

อีกหนึ่งคีย์สำคัญของบริษัท คือ กลยุทธ์การคอลลาบอเรชั่น collaboration กับพันธมิตรแบรนด์ดังระดับโลกในการเปิดตัวสินค้าคอลเล็กชั่นพิเศษ

ล่าสุดได้จับมือกับสโมสรลิเวอร์พูลในการซื้อไลเซนส์ของสโมสรมาผลิตสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ของลิเวอร์พูล ภายใต้สัญญา 3 ปี (2564-2566) นำร่องสินค้าแรกในกลุ่มรองเท้าแตะลำลอง

เบื้องต้นกำลังเตรียมเปิดแคมเปญอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคม 2565 ซึ่งหากผลตอบรับดีและกำลังการผลิตสามารถรองรับได้ บริษัทก็พร้อมที่จะขอขยายไลเซนส์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อ ก่อนจะทยอยเปิดตัวพันธมิตรระดับโลก 2-3 รายในกลุ่มแคแร็กเตอร์ดังระดับโลก และมีอีกหลายเจ้าที่กำลังเจรจากันอยู่

หลังจากช่วงที่ผ่านมาเปิดตัวคอลเล็กชั่น GAMBOL x PORORO ผ่านแคแร็กเตอร์ “โพโรโระ (Pororo)เพนกวินป่วนก๊วนขั้วโลก”แคแร็กเตอร์ลิขสิทธิ์แท้จากเกาหลี

ทั้งนี้ จากการรุกตลาดอย่างจริงจังทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ ทำให้ปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20% ทั้งนี้ ปัจจุบันแกมโบลถือเป็นผู้นำแบรนด์รองเท้าลำลองอันดับหนึ่งในประเทศไทย

โดยวางเป้าหมายระยะยาวในอนาคตก้าวสู่ความเป็นที่ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และก้าวสู่โกลบอลแบรนด์ในที่สุด