อมอร์แปซิฟิค ลูกค้าคือหัวใจ…บุกตลาดอาเซียน

วันนี้เครื่องสำอางเกาหลี คงไม่ใช่แค่เทรนด์ หรือกระแสที่ผ่านเข้ามาเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวอีกต่อไป แต่กำลังเป็นตลาดที่เติบโตอย่างน่าจับตา วัดได้จากจำนวนแบรนด์ที่เดินหน้าเปิดตัวในตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ และแบรนด์ที่มีอยู่แล้วก็ยังคงแอ็กทีฟกับการทำกิจกรรมการตลาด และขยายตัวไม่หยุด

“อมอร์แปซิฟิค” เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง อีทูดี้ ลาเนจ โซลวาซู ฯลฯ เป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องสำอางเกาหลี ที่เข้ามาทำตลาดในไทย และในอาเซียนเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี ยังคงเดินหน้ารุกตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอโปรดักต์ใหม่ ๆ นวัตกรรมที่แตกต่าง โดยเฉพาะการพัฒนาสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวและพฤติกรรมการใช้เครื่องสำอางของคนในแต่ละประเทศ เพื่อเติมเต็มให้อาณาจักรแห่งนี้สามารถครองใจลูกค้าได้ทุกวัย ทุกความต้องการ

“โรบิน นา” ประธานอมอร์แปซิฟิค ภูมิภาคอาเซียน ฉายภาพว่า ตลาดอาเซียน เป็น 1 ใน 3 “คีย์มาร์เก็ต” ของบริษัทที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยปีละกว่า 50% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากศักยภาพของตลาด เศรษฐกิจ จำนวนประชากร ที่ส่งผลให้ตลาดบิวตี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนคาดว่าในปี 2563 ตลาดความงามอาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

เพื่อรับกับโอกาสเหล่านั้น “โรบิน” ชี้ว่า เขาจะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง นั่นคือ “multi-brand offering” กลยุทธ์มัลติแบรนด์ การนำเสนอความครบเครื่อง ครบครัน ในเรื่องความงาม ภายใต้ 5 แบรนด์หลัก ได้แก่ โซลวาซู ลาเนจ มามอนด์ อีทูดี้ เฮาส์ และอินนิสฟรี ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนในการตอบโจทย์สิ่งที่ผู้บริโภคมองหา

“Targeting Millennials” การโฟกัสกลุ่มเป้าหมายไปที่ gen M หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุราว 15-35 ปี ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 30% ของประชากรในอาเซียน โดยการพัฒนารูปแบบการสื่อสารออฟไลน์ ออนไลน์ หรือช่องทางการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านในห้างสรรพสินค้า แฟลกชิปสโตร์ การให้บริการของพนักงาน ไปจนถึงอีคอมเมิร์ซ

และกลยุทธ์ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์เลยก็คือ “Optimized Beauty Solutions for ASEAN” การค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาโปรดักต์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคนในภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง โดยการจัดตั้งศูนย์ R&I (Research and Innovation) ที่สิงคโปร์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

“โรบิน” ตระหนักดีว่า การมัดใจลูกค้าในแต่ละพื้นที่ต้องทำความเข้าใจถึงความชอบ และความต้องการที่ต่างกัน เช่น ความแตกต่างของสภาพอากาศที่เกาหลีกับอาเซียน ได้ส่งผลต่อสภาพผิว และขั้นตอนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน โดยในประเทศที่อากาศร้อนคนจึงต้องการผลิตภัณฑ์ที่คุมมัน หรือการเติมเครื่องสำอางระหว่างวันของคนไทยกับสิงคโปร์ก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งคนสิงคโปร์จะไม่ค่อยเติมระหว่างวัน จึงต้องการผลิตภัณฑ์ที่ติดทนนานขึ้น หรือแม้กระทั่งเฉดสีของคูชั่น ซึ่งพัฒนาเพิ่มเติมให้หลากหลายขึ้นจากที่วางขายในเกาหลี ตามโทนสีผิวของคนในแถบนี้

หัวเรือใหญ่แห่งภูมิภาคอาเซียน ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันบริษัทได้เข้าไปทำตลาดทั้งหมดแล้ว 5 ประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และจะมีแผนเข้าไปขยายตลาดในฟิลิปปินส์เป็นที่ต่อไปในปีหน้า ตลอดจนการนำแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาเปิดตลาด จากแบรนด์ที่มีในพอร์ตโฟลิโอกว่า 20 แบรนด์ อาทิ เฮร่า (HERA) ไอโอเป้ (IOPE) เอสพอร์ (espoir) เป็นต้น

ตลอดจนการเตรียมสร้างโรงงานแห่งใหม่ในมาเลเซีย เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอาเซียน พร้อมกับการรับรองมาตรฐานฮาลาล ซึ่งจะเป็นประตูสำคัญในการบุกตลาดมุสลิมประเทศอื่น ๆ ต่อไป โดยคาดว่าจะเสร็จในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่เขาตั้งเป้าหมายว่าจะมียอดขายในอาเซียน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5 แสนล้านวอน เป็นผู้นำในตลาดบิวตี้เซ็กเมนต์พรีเมี่ยมในภูมิภาคนี้

สำหรับทิศทางของอมอร์แปซิฟิคในไทย “วุง ชอย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมอร์แปซิฟิค (ประเทศไทย) จำกัด ระบุเพิ่มเติมว่า ภายใต้ 5 แบรนด์ที่บริษัทนำเข้ามาทำตลาด จะมีโปรดักต์ใหม่ ๆ ออกมาสร้างสีสันและกระตุ้นตลาดอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวคูชั่นตัวใหม่ของแบรนด์อินนิสฟรีในช่วงต้นปีหน้า ที่พัฒนาให้ปกปิดเหมือนเดิมแต่มีความบางเบามากขึ้น เหมาะสำหรับการใช้สภาพอากาศที่ร้อนในประเทศไทย

และจะมีการขยายสาขาในแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการปรับตัวรับกับกระแสของดิจิทัล ทั้งด้านของการสื่อสารผ่านออนไลน์ โซเชียลมีเดีย บล็อกเกอร์ ช่องทางการขายใหม่ ๆ ในอีคอมเมิร์ซ โดยไปพาร์ตเนอร์กับมาร์เก็ตเพลซต่าง ๆ อาทิ ลาซาด้า อีเลฟเว่นสตรีท ฯลฯ ตลอดจนการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่เชื่อมลูกค้าระหว่างออฟไลน์ออนไลน์ อย่างแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน ลาเนจ บิวตี้ มิลเลอร์

“ไทยเป็นตลาดที่สำคัญ และมีขนาดใหญ่ที่สุดของอมอร์แปซิฟิคในอาเซียน จะเป็นที่แรก ๆ ที่บริษัทจะนำแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาเปิดตัว ซึ่งนอกจาก 5 แบรนด์หลักที่กำลังทำตลาดอยู่ในขณะนี้ ก็มีแผนที่จะนำแบรนด์จากบริษัทแม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม เช่น เฮร่า เป็นแบรนด์เครื่องสำอางไฮเอนด์ ซึ่งพอร์ตโฟลิโอของอมอร์ฯประเทศไทยยังไม่มี”

“วุง” ยังระบุทิ้งท้ายว่า ภายใน 3 ปี ตลาดความงามของไทยมีโอกาสขยายตัวไปถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะแบ่งเป็นตลาดพรีเมี่ยมที่จะมีมูลค่าถึง 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดแมสอีกกว่า 6,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากซึ่งอมอร์ฯก็พร้อมที่จะเดินเครื่องบุกอย่างเต็มกำลัง