ธนจิรา ลุยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กางแผนเข้าตลาดหุ้น

ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล-มารีเมกโกะ

“ธนจิรา” ฟื้นตลาดแฟชั่นไลฟ์สไตล์หลังโควิด กางแผน 3 ปี เพิ่มดีกรีบุกออนไลน์ เปิด “มารี เมกโกะ คาเฟ่” หนุนแฟชั่นแบรนด์ดัง พร้อมกรุยทางบุกธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

ตามต่อ “แคท คิดสตัน” ประกาศแผนซื้อกิจการอาหารเพื่อสุขภาพเสริมพอร์ต พร้อมสยายปีกบุกต่างประเทศ “จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม” เผยแผนมีนา 2566 ยื่นไฟลิ่ง เข้าตลาดหุ้นระดมทุน

นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ธนจิรา กรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่นแบรนด์จากต่างประเทศ อาทิ แพนดอร่า, มารีเมกโกะ, แคท คิดสตัน และหาญ เปิดเผยว่า ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ยอดขายสินค้าทุกกลุ่มค่อนข้างยากลำบาก

โดยปี 2563 ยอดขายรวมลดลง 50% หรือปิดยอดขายที่ 900 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มียอดขาย 1,300 ล้านบาท ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การขาย ปรับระบบดิสทริบิวเตอร์กระจายสินค้า ฯลฯ ส่งผลให้ปี 2564 ที่ผ่านมาสถานการณ์เริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง

ปัจจุบันยอดออนไลน์ของบริษัทมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 12% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากก่อนโควิดมีสัดส่วนออนไลน์เพียง 1% จากแบรนด์แคท คิดสตันแบรนด์เดียว แต่ปัจจุบันมีครบทุกแบรนด์แล้ว และตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายออนไลน์เป็น 13% ในสิ้นปี 2565 และเพิ่มเป็น 30% ในช่วง 3 ปีนับจากนี้

จากนี้บริษัทจะเป็นการกลับมาดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ 3 ปี โดยจะโฟกัสออนไลน์มากขึ้น ลดสปีดการขยายสาขาลง พร้อมหันไปสร้างการเติบโตในต่างประเทศ คือ จีน ที่เป็นตลาดใหญ่, ญี่ปุ่น ตลาดลูกค้าคุณภาพ และเวียดนาม ที่มีศักยภาพในการเติบโต พร้อมกับรุกเข้าไปในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ภายใต้งบฯการลงทุนตลอดปีนี้ 100 ล้านบาท หรือราว 10% ของยอดขาย

สำหรับการรุกเข้าไปในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ล่าสุด ได้เปิดตัว Marimekko-Pop-up Cafe แห่งแรกที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี บนพื้นที่ 50 ตร.ม. 21 ที่นั่ง ด้วยการนำสินค้าในกลุ่มโฮมที่ขายดีในช่วงสถานการณ์โควิด และมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้แก่แบรนด์ และตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มโฮมให้เป็น 25% ในปี 2566 จากปัจจุบันที่มี 16% จากเดิมที่มีเพียง 10%

“ช่วงโควิดที่ผ่านมา มารีเมกโกะได้เปิดขายสินค้าผ่านสตรีมมิ่งออนไลน์ ซึ่งพบว่าสินค้าแต่งบ้านได้รับการตอบรับที่ดีมาก เช่น แก้ว จาน ชาม ฯลฯ จึงมีการต่อยอด ด้วยการเปิดโมเดล pop-up cafe ขึ้นมา

นอกจากนี้ ยังมีแผนจะขยายเพิ่มอีก 2 แห่งในกรุงเทพฯใน 2 ทำเล คือ ย่าน CBD และชานเมืองย่านบางนา คาดสามารถเริ่มเปิดได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จากปัจจุบันมารีเมกโกะมี 10 สาขา”

นอกจากนี้ยังมีแผนขยายรูปแบบคาเฟ่ สำหรับแบรนด์แคท คิดสตัน (Cath Kidston) เพิ่ม เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายพรีเมี่ยมแมส เน้นการขยายไปในทำเลที่อยู่ติดกับหน้าร้านแคท คิดสตันปัจจุบัน ในรูปแบบสไตล์ญี่ปุ่น เด็กกว่า และมีความเป็นแฟชั่นมากกว่า

ปัจจุบันแคท คิดสตันมีกว่า 40 สาขา เบื้องต้นเตรียมเปิดแคท คิดสตันในรูปแบบคาเฟ่ สาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ พื้นที่ราว 50 ตร.ม. ในเดือนธันวาคม 2565 นี้ โดยตั้งเป้าภายในปี 2566 จะเปิดโมเดลคาเฟ่ที่เป็นธุรกิจ F&B ได้ให้ 5 สาขา จากมารีเมกโกะ และแคท คิดสตัน

หลังจากเริ่มนำร่องธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มด้วยโมเดลคาเฟ่แล้ว บริษัทจะเริ่มมองหาการเข้าซื้อธุรกิจ F&B เข้ามาเสริมพอร์ตอย่างจริงจัง เบื้องต้นขณะนี้กำลังศึกษาซึ่งจะต้องเป็นแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนในแง่ของเฮลตี้ การรับประทานแล้วดีต่อสุขภาพ เพื่อสร้างการเติบโตให้แบรนด์ที่เข้ามาเสริมพร้อมทั้งขยายเชื่อมโยงกับแบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่มีอยู่ในอนาคต

สำหรับตลาดต่างประเทศ การไปโตเมืองนอกคืออีกหนึ่งยุทธศาสตร์ของกลุ่ม เพราะปัจจุบันตลาดในไทยทำเลการขยายสาขาเริ่มอิ่มตัว โดยเฉพาะในทำเลหลัก โดยจะเริ่มโฟกัสมากขึ้นในปี 2566 ที่จะนำแบรนด์มารีเมกโกะไปเปิดสาขาในเวียดนาม จากเดิมที่มีแบรนด์แคท คิดสตันทำตลาดอยู่ก่อนแล้ว 5 สาขาในเวียดนาม และกำลังจะเปิดสาขาที่ 6 ในช่วงเดือน ก.ค.นี้

สาขาแรกของมารีเมกโกะจะอยู่ในห้างล็อตเต้ กรุงฮานอย ในรูปแบบช็อป อิน ช็อป ขณะที่ในจีนเป็นการนำแบรนด์หาญ (HARNN) เข้าไปขายผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ Tmall ก่อนจะเดินหน้าขยายตลาดต่อเนื่อง

ส่วนญี่ปุ่นจะเป็นการนำแบรนด์หาญเข้าไปขยายสาขาด้วยการร่วมทุนกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่น โดยได้ตั้งบริษัทย่อย หาญเจแปน ขึ้นในปี 2563 สินค้าหลักที่นำเข้าไปทำตลาดก่อน เป็นกลุ่มสกินแคร์ บอดี้ และในอนาคตจะพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเมดอินเจแปน เพื่อวางจำหน่ายพร้อมทั้งส่งกลับมาขายเมืองไทย

เบื้องต้นขณะนี้ขยายไปแล้ว 3 สาขาที่โอซากา โตเกียว และโยโกฮามา และเดือนสิงหาคมนี้จะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา ที่เมืองโกเบ

“หลังจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และสถานการณ์ที่เริ่มคลี่คลาย มองว่าสิ้นปี 2565 นี้ ทั้งกลุ่มจะกลับมาเติบโตที่ 50% หรือปิดยอดขายราว 1,150 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายแพนดอร่า 50% มารีเมกโกะ 20% หาญและแคท คิดสตัน 17-18%

“ส่วนปีหน้าคาดว่าจะปิดยอดขายรวมได้ไม่ต่ำกว่า 1,400 ล้านบาท หลังจากนั้นเติบโตต่อเนื่องปีละ 15% (ตามแผน 3 ปี) โดยมีแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2566 หลังจากล่าช้าเพราะสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงปลายเดือน มี.ค. 2566 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ในช่วงปลายปี” นายธนพงษ์กล่าว