BEAUTY บุกช่องทางจำหน่ายใน-ต่างประเทศ มั่นใจผลประกอบการทั้งปีทำนิวไฮต่อเนื่อง

BEAUTY ผงาดรับไฮซีซั่น ลุยขยายช่องทางจำหน่ายทุกรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ ปรับกลยุทธ์เพิ่มตัวแทนจำหน่ายรูปแบบ Non-Exclusive Distributor ใน พม่า ลาว และกัมพูชา พร้อมเดินสายออกบูธต่างประเทศ ดันยอดขายต่างประเทศพุ่ง มั่นใจผลประกอบการทั้งปีทำนิวไฮต่อเนื่อง โชว์งบไตรมาส 2 กำไรพุ่ง 96.9% ที่ 273.18 ล้านบาท กวาดรายได้ 887.38 ล้านบาท โต 50.9 % ประกาศจ่ายปันผล 95.26% ของกำไรสุทธิ 0.15 บาท/หุ้น

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางในช่วงครึ่งปีหลังยังสามารถเติบโตได้ดี เนื่องจากกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจและสินค้าของ BEAUTY ทุกแบรนด์ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ ต่างประเทศ ตลอดจนนักท่องเที่ยวมากขึ้น

ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาของทุก Shop Brand โดยเน้นการขยายสาขาออกไปตามต่างจังหวัด หัวเมืองท่องเที่ยว และขยายช่องทางการขายอื่นๆ เพื่อรองรับกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวทั้งจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 334 สาขา แบ่งเป็น BEAUTY BUFFET 252 สาขา BEAUTY COTTAGE 71 สาขา BEAUTY MARKET 11 สาขา อีกทั้งยังมีจุดขาย ณ คิง พาวเวอร์ 8 สาขา 22 จุดจำหน่าย และวางจำหน่ายสินค้าผ่านร้าน 7-ELEVEN จำนวน 1,330 สาขา

สำหรับตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทในกลุ่มประเทศ CLMV มีนโยบาย relocate พื้นที่เพื่อให้ได้ทำเลที่มีศักยภาพ ทำให้จำนวนสาขาที่เป็น Independent shop มีทั้งสิ้น 16 สาขาในประเทศเวียดนาม และมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในรูปแบบของ non-exclusive distributor ใน 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งขณะนี้ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในพม่าเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในลาวและกัมพูชาอยู่ระหว่างการพิจารณา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2561

ส่วนในประเทศฟิลิปปินส์มี 2 สาขาซึ่งเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และในครึ่งปีหลังมีแผนการขยายสาขาในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มอีก 5 สาขา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ได้เปิดสาขา 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วที่ Ayala Glorietta Mall และสาขารูปแบบ Shop in shop ปัจจุบันมีอยู่ใน 3 ประเทศ รวม 131 สาขา ประกอบด้วย ฮ่องกง 93 สาขา อินโดนีเซีย 19 สาขา ไต้หวัน 19 สาขา ซึ่งทุกแห่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ BEAUTY ยังมีการไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เพื่อแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักและขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน เอเซีย พร้อมทั้งพิจารณากลุ่มลูกค้าขายส่งที่มีศักยภาพไปเป็นตัวแทนจำหน่ายในอนาคต ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้จะสามารถทำนิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 3,100 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20%

นายแพทย์สุวิน กล่าวถึงผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2560 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 887.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 299.15 ล้านบาท หรือ 50.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 588.23 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 273.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134.46 ล้านบาท หรือ 96.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 138.72 ล้านบาท งวดครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวม 1,574.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 456.78 ล้านบาท หรือ 40.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,118.13 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 472.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 204.89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 76.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 267.95 ล้านบาท
ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากอัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSS) ที่มีอยู่ การขยายช่องทางการจำหน่ายทุกรูปแบบ ทั้งเพิ่มสาขาในประเทศและต่างประเทศ ช่องทางจำหน่ายผ่าน Modern Trade ร้านสะดวกซื้อ 7-11 และช่องทางออนไลน์ อี-คอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 60 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 95.26% ของกำไรสุทธิ โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดรวมทั้งสิ้น 450.41 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับปันผล(Record Date)ในวันที่ 25 ส.ค. 60 กำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 8 ก.ย. 60