COVID-19 ทุบหุ้นไทยร่วง 26 จุดใกล้เคียงภูมิภาค สัปดาห์หน้าจับตาประชุม ECB คาดลดดอกเบี้ย

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการนักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 มี.ค.62 ว่า วันนี้ตลาดปิดทำการใกล้เคียงภูมิภาค โดยปิดตลาดอยู่ที่ 1,364.57 จุด ลดลง 26.26 จุด หรือ -1.89% มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 52,201.99 ล้านบาท โดยภาพรวมตลาดยังคงมีความกังวลต่อการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ดูเหมือนบานปลาย ในฝั่งยุโรปกำลังเร่งตัวขึ้น และสหรัฐพบผู้ติดเชื้อหลายเคสมากขึ้นและมีการยกระดับขึ้นไปในบางรัฐ ดังนั้นเป็นจุดที่ตลาดต้องกลับมากังวลมากขึ้น เพราะหากควบคุมไม่อยู่โอกาสเปิดดาวน์ไซด์ของภาพเศรษฐกิจจะมากขึ้น

“COVID-19 แทบจะเป็นปัจจัยเดียวกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกตอนนี้ ยุโรปเปิดตลาดหุ้นติดลบลงไปหนักกว่า 3% เนื่องจากไวรัสตอนนี้ระบาดในโซนฝั่งยุโรปมากขึ้น ดังนั้นภาพตลาดยังวนเวียนกับปัจจัยเหล่านี้ ยังไปไม่ได้ไกล หากไวรัสยังหาจุดพีกไม่ได้เหมือนในเมืองจีน

ฉะนั้นตลาดคงจับตาฝั่งยุโรป สหรัฐ หรือแม้แต่ฝั่งเอเชียอย่างเกาหลีใต้ จะมีจุดพีกของจำนวนผู้ติดเชื้อได้เมื่อไหร่ ซึ่งเชื่อว่าถ้าหาจุดพีกได้จะเป็นจุด Bottom ของ Index” นายวิจิตรกล่าว

จังหวะที่ดัชนีขึ้นไปแน่นอนว่านักลงทุนก็จะขายลดพอร์ตลงมา จากตลาดมีความเสี่ยง ประกอบกับ COVID-19 เป็นประเด็นที่ประเมินยาก และเมื่อเกิดเหตุการณ์เดียวสามารถบานปลายได้เร็ว เห็นได้ชัดเจนจากในเกาหลีใต้

ส่วนสัปดาห์หน้า (9-13 มี.ค.63) มองว่า ประเด็นสำคัญสุดต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) ช่วงวันที่ 12 มี.ค.63 ซึ่งเชื่อว่าจะเดินหน้าเหมือนธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คือ การลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ซึ่งจะเป็นนโยบายดอกเบี้ยเงินฝาก ปัจจุบันเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ฝากไว้ที่ ECB ถือว่าต่ำมากติดลบ 0.5% และเชื่อว่ารอบนี้ก็น่าจะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.1% ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากจะติดลบ 0.6% ซึ่งคงเป็นเทรนด์เดียวกันทั่วโลกที่พยายามจะกดตัวดอกเบี้ยต่ำทั้งหมด โดยใช้นโยบายทางการเงินเข้ามาพยุงภาพรวมเศรษฐกิจ

แต่ภาพรวมการลดดอกเบี้ยคงจะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วมากนัก แต่ระยะยาวอาจจะเป็นไปไได้ เพียงแต่ช่วงสั้นๆ คงต้องคาดหวังมาตรการการคลังเข้ามามากยิ่งขึ้น

ส่วนปัจจัยในประเทศคงนำชุดมาตรการเศรษฐกิจนำเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)แต่ตลาดอาจไม่ได้ตื่นเต้นนัก เพราะดูจากไส้ในอาจจะยังไม่ได้ช่วยตลาดได้มากนัก โดยเฉพาะรู้สึกผิดหวังมาตรการชั่วคราวของกองทุน SSF ที่จำกัดแค่ช่วงระยะเวลา 2 เดือน หรือภภายในเดือน มิ.ย. และครึ่งปีหลังกลับไปใช้หลักเกณฑ์เดิม ซึ่งเป็นนโยบายที่สั้นมาก น่าจะไม่ค่อยดึงดูด น่าจะมีมาตตรการที่หวังผลได้มากกว่านี้ ส่วนมาตรการแจกเงินก็เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบอกมาก่อนหน้นี้แล้ว ตอนนี้ต้องรอดูการประเมินจำนวนคน ที่บอกช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเกษตรกร อาชีพอิสระ แต่ประเมินเบื้องต้นถ้าแจกผระมาณ 10 ล้านคน เฉลี่ยคนละ 2 พันบาท ใช้เงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท บูทจีดีพีได้แค่ประมาณ 0.12% เท่านั้น ในขณะที่จีดีพีบ้านเราปีนี้พังไปแล้ว จึงอาจจะยังไม่ค่อยเยียวยา แต่อยย่างไรก็ตามดีกว่าไม่มีมาตรการออกมาช่วยเหลือ เพียงแต่ในเชิงตลาดหุ้นคงไม่ได้ผลบวกแน่นอน

มองกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณแนวรับ 1,320 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,380 จุด