“อภิชาติ ลีนุตพงษ์” ชูรถยนต์ไฟฟ้าพลังขับเคลื่อน

“ชาริส โฮลดิ้ง” ถือเป็นนักธุรกิจ คนรุ่นใหม่ ไฟแรง สร้างรากฐานทางธุรกิจจนประสบความสำเร็จกับอาณาจักร “ชาริส โฮลดิ้ง” ซึ่งมีบริษัทในเครือมากกว่า 7-8 บริษัท และอยู่ระหว่างการเตรียมขยายธุรกิจในเครือเพิ่มเข้ามาอีกอย่างน้อย 3-5 ธุรกิจ

สเต็ปก้าวเดินของชาริส โฮลดิ้ง จะเป็นอย่างไร ไปฟังจากปาก “อภิชาติ ลีนุตพงษ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชาริส โฮลดิ้ง จำกัด จับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า

ถ้าจะถามว่าทิศทางของชาริสฯจากนี้จะไปทางไหน คงต้องยอมรับว่าเราคงมุ่งนำเสนอสินค้าที่รับกับเทรนด์ของโลก อย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จดีมาก โดยเฉพาะแบรนด์บีวายดี

ล่าสุดที่บริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด บริษัทในเครือ ได้โครงการแท็กซี่ วี.ไอ.พี. ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% มาใช้ขับเคลื่อนระบบการคมนาคมขนส่งในประเทศไทยเพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการรถแท็กซี่สาธารณะแก่ประชาชน โดยได้จำหน่ายบีวายดี e6 ในลอตแรกจำนวน 100 คัน จะส่งมอบได้ในเดือนสิงหาคมนี้ และในปีหน้าเราตั้งเป้าขายเพิ่มเป็น 1,000 คัน อนาคตบริษัทมีแผนจะนำเข้ามาจำหน่าย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีแผนนำเข้ารถแวนรุ่น ที 3 (T3) เข้ามา ทำตลาดเพื่อใช้ในธุรกิจขนส่ง และเตรียมขยายตลาดเข้าไปเจาะกลุ่มรถหัวลาก ในสนามบิน โดยนำเสนอรถหัวลากแบบไฟฟ้า 100% แล้ว หากบริษัทแม่ของบีวายดีพัฒนารถยนต์นั่งไฟฟ้า 100% ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าชาวไทย บริษัทพร้อมที่จะนำเข้ามาทำตลาดในอนาคตด้วย ปัจจุบัน มี 7 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.รถจักรยานยนต์ดูคาติ

2.รถจักรยานยนต์รอยัล เอนฟิลด์ 3.รถไฟฟ้าบีวายดี 4.ตัวแทนจำหน่ายชุดแต่งรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า RevoZport และ Unplugged Performance อย่างเป็นทางการในประเทศไทย 5.สินค้านวัตกรรม ไอโรบอต 6.เครื่องล้างแปรงแต่งหน้า สไตล์โปร (StylPro) และ 7.รถสกูตเตอร์

พรีเมี่ยม นิว วันนี้ต้องยอมรับว่ามีการเจรจากับพันธมิตรอีก 3-5 ราย เพื่อนำธุรกิจเข้ามาในโฮลดิ้งเพิ่มเติม และเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราถนัด แต่มั่นใจว่าปีนี้ผลประกอบการโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ล้านบาทจากปีก่อน ที่สามารถทำได้แค่ 1,000 ล้านบาท

“ดูคาติ” โตแบบมีศักยภาพจุดเริ่มต้นธุรกิจเราเกิดขึ้นในช่วงที่มีโอกาสได้ทำแบรนด์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และขณะนั้นบีเอ็มฯมีแผนที่จะนำตัวมอเตอร์ราดเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และขอให้เราให้ความร่วมมือเป็นที่แรกที่ทำมอเตอร์ราดกับบีเอ็มฯ ซึ่งผมเองขณะนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับ

รถจักรยานยนต์เลย และขี่ไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากขณะนั้นผมมองว่าเราจะขายของได้อย่างไร หากเราไม่รู้จักสินค้านั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี วันนั้นจึงเริ่มใช้ชีวิตกับรถจักรยานยนต์ สร้างความคุ้นเคย จนในปี 2003 มีโอกาสได้ไปเรียนคอร์สบิสซิเนส กับทางบีเอ็มดับเบิลยูที่เยอรมนี และได้เจอเพื่อนคนหนึ่งและมีโอกาสได้ไปขอแบรนด์ “ดูคาติ” ทำที่ประเทศไทย และเราเริ่มต้นขายดูคาติเมื่อปี 2004 ปีแรกเรามียอดขาย 12 คัน และปีถัดมาได้ 15 คัน จนเข้าปี 2006 เป็นปีอยู่ระหว่างทางแยกที่ต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง

สำหรับแบรนด์ “ดูคาติ” เพราะยอดขายปีละ 12, 15 และ 18 คันต่อปี มันไม่เวิร์กแน่นอน เราจึงตัดสินใจย้ายที่ตั้ง จากเดิมย่านเอแบค บางนาเข้ามาอยู่ในใจกลางเมืองอย่าง”ทองหล่อ” เราเป็นแบรนด์ยุโรปแรกที่เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย คือ “ดูคาติ” และได้สิทธิเรื่องภาษี

ในปี 2012 และปีนี้เองยอดขายของเรากระโดดขึ้นมาที่ระดับ 1,500 คัน และ 2,400 คันในปี 2013 และขยับ 2,700 คัน และ 3,000 คันในปีถัดมา ดูคาติไม่เกี่ยวข้องกับลีนุตพงษ์ เราเริ่มต้นจากเงินจำนวน 1.25 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท

จนกระทั่งย้ายมาที่ “ทองหล่อ” เรามียอดขายเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีสินค้าใหม่ และโลเกชั่นที่ดีขึ้น บวกกับการทำตลาดที่เน้นคอมมิวนิตี้ ปีนั้นยอดขายเราเพิ่มขึ้นมา 30 คัน และ 45 คันในปีถัดไป

จนกระทั่งเข้าสู่ปี 2009 ผมไม่ได้ทำงานให้กับธุรกิจครอบครัว และมาดูแลธุรกิจของ “ดูคาติ” อย่างเต็มตัว ถึงตรงนี้ผมขอใช้พื้นที่ ยืนยันว่าดูคาติไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยนตรกิจแต่อย่างใด ผมอยู่ในตระกูลนี้ก็จริง แต่ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจส่วนตัว ผมออกมาทำเอง 100% ที่ผมต้องการแยกชัดเจนแบบนี้เนื่องจากเราต้องการสร้างคัลเจอร์คอร์ปอเรต ของ “ชาริส โฮลดิ้ง” ของเราขึ้น ให้ชัดเจนมากกว่า และในปี 2009 ที่ผมออกมาทำธุรกิจเองอย่างเต็มตัว เรามียอดขายสูงถึง 80 คัน และกระโดดขึ้นไปเป็น 200 คัน ปี 2011 ยอดขายขึ้นเป็น 360 คัน

ดึง “ไอโรบอต” เสริมทัพ

นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ทำแบรนด์ “ไอโรบอต” ซึ่งเป็นเครื่องดูดฝุ่นเข้ามาทำตลาด ซึ่งเป็นสินค้าที่เราเอาเข้ามาทำ จากประสบการณ์จากการใช้งานเอง ปีแรกเราขายไปได้ 200 ตัว

ตลาดบิ๊กไบก์ยังวิ่งฉิว

การแข่งขันในตลาดบิ๊กไบก์สูงมาก ดูคาติเราตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดไว้ที่ 10% ซึ่งยอดจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 คัน ในปี ขณะนั้นถือเป็นจังหวะดี มี “รอยัล เอนฟิลด์” ติดต่อเราเข้ามาในปี 2016 ทำให้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน สินค้าตัวนี้ตอบโจทย์นักบิดแนวคลาสสิกได้ดีมาก ปีแรกเรามียอดขาย 1,200 คัน และ 1,400 คันในปีที่ผ่านมา เมื่อมีหลาย ๆ แบรนด์ เราต้องมาดูแลองค์กร และ จัดบาลานซ์ธุรกิจใหม่ ทำเป็นโฮลดิ้งธุรกิจ โดยเฉพาะในส่วนของหน่วยงานต่าง ๆ เราสามารถใช้ร่วมกันได้ การตลาดบางส่วน การจัดอีเวนต์ การจัดซื้อ เพื่อให้เกิดอีโคโนมีออฟสเกลมากขึ้นนั่นเอง และมีการทำแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามา ทั้งสกูตเตอร์ นิว (NIU) และธุรกิจใหม่ ๆ