เปิดใจบอสใหญ่ “ซูซูกิ” ฟางเส้นสุดท้ายถอนลงทุนไทย “เลิกส่งเสริมอีโคคาร์”

ซูซูกิ
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ

ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงความชัดเจน หลังจากเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ที่ผ่าน ค่ายรถยนต์ซูซูกิได้ร่อนแถลงการณ์ ประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ ที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ในช่วงปลายปี 2568 ล่าสุด “ทาดาโอะมิ ซูซูกิ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ วัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บอกเล่าถึงความชัดเจนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจและการดูเเลลูกค้าชาวไทย

ฟางเส้นสุดท้ายเลิกส่งเสริมอีโคคาร์

ซูซูกิต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานอีโคคาร์ ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2568 ทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของซูซูกิลดลงไป

หากนับย้อนไปตั้งเเต่วันที่ซูซูกิ ตัดสินใจเข้ามาลงหลักปักฐาน ลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเมื่อ 15 ปีก่อน

ในขณะนั้นซูซูกิมองว่าโอกาสของรถยนต์ขนาดเล็ก จะมีการเติบโตค่อนข้างสูงและสามารถเข้ามากินสัดส่วนแทนที่รถปิกอัพขนาด 1 ตันได้

แต่มาวันนี้ไม่ใช่แล้ว สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป ตลาดในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มรถปิกอัพ แต่กลุ่มรถที่มีการเติบโตสูงขึ้นมากลับเป็นรถยนต์ในกลุ่มบีเอสยูวีที่มีการขยายตัวค่อนข้างสูง รวมทั้งมีการแนะนำสินค้าใหม่ ๆ ที่ล้อไปกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

สูญเสียขีดความสามารถ

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ของซูซูกิในประเทศไทยจะเป็นการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ทั้งสิ้น ได้แก่ ซูซูกิ สวิฟต์, ซูซูกิ เซเลริโอ และซูซูกิ เซียส

ADVERTISMENT

เมื่อรัฐบาลไทยส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี บริษัทก็สูญเสียขีดความสามารถในการผลิตไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในทางกลับกัน ขีดความสามารถจากการผลิตถ้าไม่สามารถทำได้ในปริมาณที่มากพอ ก็จะไม่สามารถรักษาฐานการผลิตและการขายเอาไว้ได้

ADVERTISMENT

ในภูมิภาคอาเซียน ซูซูกิมีฐานผลิตหลายที่ ทั้งอินโดนีเซียและอินเดีย รวมทั้งญี่ปุ่น เราก็ต้องมองภาพใหญ่ เลือกบริหารต้นทุนในการแข่งขันที่จะทำได้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันในอินโดนีเซีย มี 2 โรงงาน มีกำลังผลิต 94,941 คัน จะเพิ่ม 4 ล้านคันในปี 2030 ส่วนอินเดีย 3 โรงงาน กำลังผลิต 1,983,851 คัน จะเพิ่ม 4 ล้านคัน และญี่ปุ่น 3 โรงงาน กำลังผลิตที่ 1,011,257 คัน

ส่วนประเทศไทยเพียงแค่ 10,000 คันในปีที่ผ่านมา หลังจากโรงงานผลิตรถยนต์ที่อำเภอปลวกแดงได้ยุติลง ซูซูกิ ประเทศไทย จะต้องมีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น และซูซูกิ อินโดนีเซีย ซึ่งจะเป็นโรงงานหลักในการจัดหารถยนต์รุ่นใหม่เพื่อรองรับกับตลาดประเทศไทยและตลาดอาเซียน ทั้งนี้ เราจะดำเนินงานอย่างเข้มงวดเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในราคาและระยะเวลาที่เหมาะสม

เชื่อปีนี้ทั้งตลาดขายไม่เกิน 6.5 แสนคัน

ซูซูกิอยู่เคียงข้างลูกค้าชาวไทยมาตลอดระยะเวลา 50 ปี ด้วยรถยนต์คุณภาพสูง และเราสัญญาว่าจะส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพและบริการสูงสุดให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องตลอดไป

ส่วนยอดขายของซูซูกิในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานั้น มียอดขายทั้งสิ้น 3,791 คัน ลดลง 54% ขณะที่ตลาดรถยนต์โดยรวม ทำได้ 307,995 คัน ส่วนทั้งปี คาดว่ายอดขายตลาดรวมจะปรับลดลงเหลือ 600,000-650,000 คัน ส่วนซูซูกิยังต้องยืนยันเป้าหมายเดิมก่อน คือ 12,000 คัน แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างลำบาก

ส่วนในปี 2568 ตลาดรถยนต์จะมีโอกาสฟื้นตัวหรือไม่นั้น ต้องบอกว่าผลกระทบครั้งนี้ของอุตสาหกรรมยานยนต์อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขอีกพอสมควร โดยเฉพาะ กำลังซื้อ ดีมานด์ของลูกค้า สภาพเศรษฐกิจโดยรวม ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน และตลาดรถยนต์มือสองที่ลดลงไปอย่างน่าใจหาย

มุ่งมั่นดูแลลูกค้าต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ซูซูกิจะใช้จุดแข็งในเรื่องคุณภาพสินค้า และราคาที่เข้าถึงได้เป็นจุดแข็ง

อุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่โดดเด่นของประเทศไทย ค่ายรถยนต์ทุกค่ายจะต้องสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า และสามารถเข้าถึงลูกค้าให้ได้

ซูซูกิยุติโรงงานในประเทศไทยเพราะขาดทุนสะสม ทำให้ต้องตัดสินใจยุติโรงงานลง แต่บริษัทยังคงมีความมุ่งมั่นในการดูแลลูกค้าชาวไทยอย่างต่อเนื่องและตลอดไป

ปีหน้าส่งรุ่นใหม่ 4 รุ่น

สำหรับแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ปีนี้ยังไม่มี แต่ปี 2025 เป็นต้นไป จะมี 4 รุ่น โดยจะเป็นรถที่มีความหลากหลายของพลังงาน ครอบคลุมทั้งเครื่องยนต์สันดาป, ไฮบริด และอีวี

ส่วนจะมีการลงทุนเพิ่มเติมหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อย่างในอินเดียและญี่ปุ่น ส่วนตลาดอาเซียนก็มีความสำคัญ ซูซูกิอาจจะลงทุนเพิ่มเพื่อมุ่งไปสู่นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือมัลติพาร์ตเวย์ และซูซูกิยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไปอย่างมั่นคง ภายใต้วิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ “Enhancing the Ability to Compete in the Upcoming Automotive Market เพิ่มขีดความสามารถสู่การแข่งขันในอนาคต”

และแผนการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” ซึ่งจะเป็นการยกระดับงานบริการในทุกด้าน โดยเน้นย้ำถึงการดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจ มอบคุณภาพของงานบริการที่ดีที่สุด ตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้าชาวไทยมอบให้เสมอมา

ยกระดับความพอใจลูกค้า

นอกจากนี้ สิ่งที่ซูซูกิยึดมั่นคือ การดำเนินงานภายใต้ปรัชญา “SUZUKI Cause We Care เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” การพัฒนางานบริการในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ เป็นเป้าหมายสำคัญยิ่งของซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จึงได้จัดทำแคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” ที่เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับการดูแลลูกค้าด้วยคุณภาพและมาตรฐานของซูซูกิได้อย่างแท้จริง ซึ่งรายละเอียดจะประกอบไปด้วย 7 หัวข้อ ดังนี้

1.ฟรีค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนดกับศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิทุกสาขา ฟรี ค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) 2.ขยายการรับประกันอะไหล่และงานบริการกับการขยายการรับประกันงานซ่อมและอะไหล่แท้ทุกชิ้น นานถึง 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) จากเดิมที่รับประกันเพียง 3 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร

3.บริการพิเศษรถสำรองใช้ระหว่างซ่อม รถยนต์ที่อยู่ในระยะรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และสำหรับรถยนต์ซูซูกิที่ต้องใช้เวลาตรวจเช็กมากกว่า 1 วัน (ไม่รวมระยะเวลาวิเคราะห์ปัญหา) และไม่รวมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ 4.HELLO SUZUKI APPLICATION ยกระดับงานบริการแบบ S-Solution เพื่อมาเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบายและความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นนี้กว่า 106,823 ราย

5.ระบบการจัดการอะไหล่ มีเป้าหมายรองรับบริการได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดการผลิตโดยมีคลังอะไหล่ 2 แห่ง ทั้งที่คลังอ่อนนุช กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 1,216 ตารางเมตร และคลังอะไหล่จังหวัดระยอง มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 4,076 ตารางเมตร รวมถึงคลังอะไหล่ของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ มีอะไหล่จัดเก็บรวมมากถึง 741,000 ชิ้น, บริการจัดส่งอะไหล่แบบเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่อื่น ๆ ภายใน 48 ชั่วโมง

ขณะที่ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มีอยู่ 92 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และเตรียมเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับแผนงานในอนาคต ด้วยการแต่งตั้งผู้จำหน่ายรายใหม่เพิ่มอีก 6 แห่ง ได้แก่ จ.มหาสารคาม, กาฬสินธุ์, หนองคาย, บึงกาฬ และพัทลุง ขณะที่ศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิ มีทั้งหมด 32 แห่ง ซึ่งมีแผนจะเพิ่มอีกจำนวน 9 แห่ง ได้แก่ จ.นนทบุรี, สิงห์บุรี, สุโขทัย, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี และขอนแก่น ภายในปีนี้