
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
แบรนด์ “ปอร์เช่” รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ต ในกลุ่มอัพเปอร์พรีเมี่ยมคาร์ วันนี้ได้กลายมาเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้กับใครหลายคนพยายามไขว่คว้ามาเป็น “รางวัลแห่งความสำเร็จ” ของตัวเอง
วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “ธนบดี กุลทล” ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้วันนี้ ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยเอเอเอส กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ โดยได้รับการแต่งตั้งจากโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี มาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ได้เดินหน้าประสบความสำเร็จและพยายามสร้างความยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น
หลังจากที่บริษัทแม่วางใจเลือกให้ไทยเป็นประเทศแรก เปิดตัว ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ (Cayenne S E-Hybrid Coupe) ซึ่งประกอบจากโรงงานปอร์เช่ในมาเลเซีย
ถือว่าย่อม “ไม่ธรรมดา”
Q : อะไรทำให้บริษัทแม่มอบโอกาสครั้งสำคัญนี้
ก่อนอื่นหากมองย้อนกลับไปในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าแบรนด์ “ปอร์เช่” ในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนได้การตอบรับอย่างเเพร่หลาย มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นปอร์เช่ เอจี บริษัทแม่มองเห็นโอกาสตรงนี้เช่นเดียวกัน ทำให้เมื่อสองปีก่อนจึงเกิดโปรเจ็กต์ร่วมทุนกับกลุ่มไซม์ดาร์บี้ ทุนใหญ่ของมาเลเซีย เพื่อประกอบรถยนต์ปอร์เช่ขึ้นในภูมิภาค และประกอบปอร์เช่ คาเยนน์ จากโรงงานมาเลเซียเป็นโมเดลแรก
จากนั้นปีนี้เป็นโอกาสของประเทศไทย ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ จะเป็นรุ่นแรกสำหรับประเทศไทย
Q : ทำไมปอร์เช่ เอจี ไม่เลือกไทย
ปอร์เช่ เอจี เป็นพันธมิตรกับกลุ่มไซม์ดาร์บี้ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่รายใหญ่ในประเทศต่าง ๆ ทั้งนิวซีแลนด์มาเลเซียและอีกหลากหลายประเทศ และยังถือว่ามีประสบการณ์ในการประกอบรถยนต์หลากหลายรุ่นให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทย และมาเลเซียประกอบกับมาเลเซียเองก็ถือเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีความมั่นคงและแข็งแรง จึงทำให้เป็นประเทศที่ได้รับเลือกและมองว่าเหมาะสมกับกลยุทธ์การเติบโตในอาเซียนของปอร์เช่
โรงงานประกอบรถยนต์ปอร์เช่ในเมืองกูลิม มาเลเซียนั้น เป็นการลงทุนเพื่อสร้างโรงงานขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ได้มาตรฐานและเท่าเทียมกับโรงงานผลิตรถยนต์ปอร์เช่ในเยอรมนี พร้อมกับมีทีมวิศวกรจากบริษัทแม่มากำกับดูแลและควบคุมการผลิต แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังคงมีความสำคัญกับปอร์เช่ในภูมิภาคอาเซียนการตัดสินใจครั้งนี้ถือว่าเป็นเดิมพันครั้งสำคัญ
โดยเฉพาะการประกอบรถยนต์ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ ให้กับประเทศไทย เพราะการตัดสินใจทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับทีมผู้บริหารระดับสูงของปอร์เช่ เอจี นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าทางบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพและอนาคต รวมทั้งโอกาสของประเทศไทย ส่วนอนาคตหากมีความต้องการที่มากพอก็อาจเป็นไปได้ที่จะได้เห็นโอกาสการเปิดไลน์ประกอบของปอร์เช่ในประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน
Q : การประกอบรถในอาเซียนทำให้ราคาถูกลง
เป็นผลดีอย่างแน่นอน ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เรื่องของราคาจำหน่ายของปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ ที่ถูกลงไปเกือบ 2 ล้านบาท เพราะส่วนหนึ่ง ภาษีนำเข้าหายไปถึง 80% ขณะที่ภาษีสรรพสามิตยังคงอยู่ที่ 8% รถรุ่นนี้ได้รับการปรับแต่งเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะ มาพร้อมกับออปชั่น อุปกรณ์มาตรฐานระดับพรีเมี่ยมที่มีเพิ่มเติมเสริมเข้ามาอย่างพิเศษ
ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ ราคา 6.29 ล้านบาท แต่ลูกค้าจะได้คาเยนน์ ตัวเอส ซึ่งได้แรงม้าเพิ่มขึ้น 49 แรงม้า เป็น 519 แรงม้า กับเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบขนาด 3 ลิตร ให้กำลัง 260 กิโลวัตต์ หรือ 353 แรงม้า ทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งผลให้มีระบบกำลังรวมอยู่ที่ 382 กิโลวัตต์ หรือ 519 แรงม้า
ความเร็วจากศูนย์ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 4.7 วินาทีเท่านั้น ขณะที่ท็อปสปีดอยู่ที่ 263 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปอร์เช่ยังเคลมอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสามารถวิ่งได้สูงสุด 90 กิโลเมตรตามมาตรฐาน EAER City
รถรุ่นนี้ยังได้จานเบรกที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งตรงนี้ถือเป็นดีเอ็นเอและเป็นความใส่ใจของปอร์เช่ เนื่องจากเราเป็นรถสปอร์ต เมื่อกำลังแรงม้าเพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาและออกแบบขนาดของจานเบรกให้รองรับกับประสิทธิภาพของรถยนต์ เรียกได้ว่าหากลูกค้าจะนำรถคันนี้ลงสนามแข่งก็สามารถทำได้ในทันที
นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะเวลาในการรอรับรถสำหรับลูกค้า หลังจากเปิดตัววันนี้ลูกค้าชาวไทยจะสามารถรอรับรถได้ทันทีขึ้นอยู่กับสี และออปชั่นที่ลูกค้าเลือก เรียกได้ว่าระยะเวลาในการขนส่งสั้นมากกว่าการขนส่งจากยุโรปที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน
Q : ลูกค้าจะยังเลือกออปชั่นได้อยู่ไหม
ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ รุ่นประกอบสำหรับประเทศไทยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว, สีดำ และสีเงิน ส่วนสีภายในห้องโดยสารมีสองสีให้เลือก ได้แก่ สีดำ และสีดำแดง
ส่วนลูกค้าที่ต้องการเลือกออปชั่น บริษัทยังสามารถให้เลือกได้ โดยจะเป็นการนำเข้ามาจากเยอรมนีโดยตรง ซึ่งราคาจำหน่ายจะสูงกว่า และอาจจะต้องใช้ระยะเวลารอรับรถที่นานกว่า ตรงนี้ “ปอร์เช่ ประเทศไทย พร้อมดูแลทุกความต้องการของลูกค้า”
ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ รุ่นประกอบสำหรับประเทศไทยเบ็ดเสร็จลูกค้าจะได้ประโยชน์รวมมูลค่าถึงสองล้านบาท ขณะที่หากเป็นรถที่นำเข้าตรงมาจากยุโรปจะมีราคาเพิ่มไปอยู่ที่กว่า 8 ล้านบาท
ดังนั้น ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ ถือเป็นรถยนต์ที่มีความคุ้มค่าสูง
Q : ทำไมประเทศไทยจึงต้องเป็นรุ่นนี้
หากไปดูสัดส่วนการขายของปอร์เช่ ประเทศไทย จะพบว่ายอดขายมากกว่า 50% คือ รถปอร์เช่ คาเยนน์
และหากลงไปในรายละเอียดจะพบว่า 70% จะเป็นรุ่นคูเป้ส่วนอีก 30% เป็นรุ่นเอสยูวีเรียกได้ว่าเป็นความต้องการสองต่อหนึ่ง ซึ่งลูกค้าประเทศไทยให้ความนิยม ดังนั้น ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ ได้มีการเพิ่มออปชั่นเข้าไปในตัวรถที่ค่อนข้างมาก ถือได้ว่าเป็นรถระดับพรีเมี่ยมแบรนด์ที่ราคาเหมาะสมจัดเต็มเรื่องความคุ้มค่ามาให้ลูกค้า เมื่อเทียบกับรถยนต์ในระดับพรีเมี่ยมแบรนด์ที่มีราคาใกล้เคียงกัน
ถือว่าปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ คันนี้มาเหนือกว่าคู่แข่งทุกด้านและเรา สามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากว่าเป็น Upper Premium
Q : สถานการณ์ยอดขายในครึ่งปีแรก
สำหรับปอร์เช่ ประเทศไทย ยอดขายในครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วมีความใกล้เคียงกัน แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่เรายังหวังว่าตลาดจะเริ่มฟื้นกลับคืนขึ้นมาและมีความคึกคักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเราแนะนำรถยนต์รุ่นนี้ออกสู่ตลาด
เราคาดหวังว่าปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ จะช่วยผลักดันยอดขายของปอร์เช่ในประเทศไทยให้เติบโตขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมาได้อย่างแน่นอนหลังจากปี 2566 มียอดส่งไปทั้งสิ้น 1,445 คัน
ปีนี้ต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเราได้รับโอกาสจากบริษัทแม่ทั้งในเรื่องของราคาและระยะเวลาในการส่งมอบรถที่สั้นลงน่าจะช่วยสามารถให้รองรับความต้องการของลูกค้าชาวไทยได้อย่างแน่นอน อีกทั้งปีนี้เรามีการเปิดตัวรถยนต์ถึงสี่รุ่นไม่ว่าจะเป็นปอร์เช่ 911 พาราเมร่า ไทคานน์ และมาคันน์
Q : เตรียมงานหลังบ้านรับจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นอย่างไร
ขณะนี้ในส่วนของเอเอเอส กรุ๊ป เราได้มีการลงทุนเพื่อขยายส่วนของงานบริการหลังการขายไว้รองรับกับความต้องการของลูกค้า และจำนวนประชากรรถยนต์ปอร์เช่ในประเทศไทย โดยจะมีการขยายศูนย์บริการเพิ่มอีกสองแห่ง คือ ปอเช่ เซ็นเตอร์ สาขาบางนา และปอร์เช่ เซ็นเตอร์ สาขาพัทยา ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงต้นปีหน้า
และยังมีการขยายปอร์เช่ เซ็นเตอร์ พัฒนาการ ปอร์เช่ เซ็นเตอร์ แบงคอก และปอร์เช่ ไอคอนสยาม นอกจากนี้เอเอเอสยังจะได้มีการลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของศูนย์บริการปอร์เช่ เซ็นเตอร์ กัลปพฤกษ์ เพื่อรองรับปริมาณรถยนต์ที่จะเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้ด้วย
สุดท้าย “ธนบดี” ทิ้งท้ายว่าปัจจุบันนี้ศักยภาพการซื้อรถยนต์ของคนไทยมีเพิ่มมากขึ้นทุกปีและรถเซ็กเมนต์นี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ปอร์เช่ ประเทศไทย จึงคาดหวังว่าหากลูกค้าชาวไทยที่มองหาเอสยูวีอเนกประสงค์ ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ คันนี้ จะเป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม
และหากเป็นรถพรีเมี่ยมแบรนด์ที่บรรดาผู้คนตั้งเป้าไว้ และหนึ่งในนั้นจะต้องเป็นปอร์เช่ ราคาที่จับต้องง่ายขึ้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน และปอร์เช่จะถือเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย และวันนี้ปอร์เช่ เอจี และปอร์เช่ ประเทศไทยได้ทำให้ฝันของคนไทยใกล้เข้ามา และที่สำคัญมีรถพร้อมเสิร์ฟทันที