
คอลัมน์ : เทสต์คาร์ ผู้เขียน : วุฒิณี ทับทอง
ถือเป็นการย้ำความสำคัญของตลาดประเทศไทย ที่เรียกว่ามีความหมายอย่างยิ่ง หลังจากแบรนด์ “ปอร์เช่” ในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนได้การตอบรับอย่างเเพร่หลาย มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด
ปอร์เช่ เอ.จี. (เยอรมนี) ตัดสินใจผลิตรถยนต์เอสยูวีรุ่นยอดนิยมอย่าง ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ สำหรับตลาดประเทศไทยขึ้นมาโดยเฉพาะ จากโรงงานที่มาเลเซีย
ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงรถรุ่นนี้มากขึ้น ด้วย “ราคา” จำหน่ายที่กดลงไป ทำให้สามารถทำราคาเริ่มต้นได้ที่ 6.29 ล้านบาท ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสกับแบรนด์ และเข้าถึงง่ายขึ้น
ไม่เป็นการรอช้า ทีมเอเอเอส กรุ๊ป ตัวแทนจัดจำหน่ายปอร์เช่ในประเทศไทย จัดให้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้สัมผัสกับรถยนต์เอสยูวี โมเดลล่าสุดที่เชื่อว่าจะเข้ามาเติมเต็มและเพิ่มแวลูให้กับลูกค้าชาวไทย
กับ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ (Cayenne S E-Hybrid Coupe) ปลั๊ก-อิน ไฮบริด สำหรับการทดสอบครั้งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” เลือกใช้เส้นทางการทดสอบทั้งในเมือง และวิ่งออกต่างจังหวัด
หลังจากรับรถที่สำนักงานใหญ่ของ เอเอเอส กรุ๊ป ย่านดอนเมือง
ตัดสินใจเลือกโหมดการขับ ด้วยพลังงานไฟฟ้า (E-power) ก่อน เพื่อต้องการดูว่าจากการใช้งานจริงแล้ว วิ่งด้วยอีวีล้วน ๆ จะน่าพอใจมากน้อยแค่ไหน รถคันนี้มี 5 โหมด ได้แก่ Offroad, E-power, Hybrid, Sport และ Sport Plus
ออกจากจุดสตาร์ต เหลือบมองที่มาตรวัดหน้าปัดบอกว่า รถคันนี้มี เปอร์เซ็นต์พลังงานไฟฟ้าให้วิ่งได้อยู่ราว ๆ 95% วิ่งได้ระยะทาง 71 กม. ตัดสินใจเบนหัวรถมุ่งออกถนนวิภาวดีรังสิต ในช่วงเวลาที่สภาพการจราจรยังหนาแน่น ด้วยขนาดของตัวรถถือว่า โอ่อ่า สมตัว กับความเป็นเอสยูวีขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่มาพร้อมกับความคล่องตัวสูง
ก่อนตัดสินใจ ยูเทิร์นรถ มุ่งหน้าสู่ จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยกำลังของเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร 353 แรงม้า ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้มีกำลังรวม 519 แรงม้า นั้นถือว่า จัดจ้านพอตัว กดคันเร่งเบา ๆ รถพร้อมทะยานออกไปข้างหน้าราวกับ ลูกศรที่พุ่งออกจากคันธนู
จังหวะมุดขึ้นลง สับเปลี่ยนเลน ทำได้ด้วยความคล่องตัว บวกกับแรงกำลังของรถ ยิ่งทำให้เพิ่มอรรถรสในการขับขี่ ได้ทั้งความมั่นใจและความแม่นยำ ด้วยระบบช่วงล่างลมอัจฉริยะแบบใหม่ ที่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมระบบกันสะเทือนแบบถุงลม Porsche Active Suspension Management (PASM) เทคโนโลยี Two-Chamber Two-Valve ช่วยให้ง่ายต่อการควบคุมรถยนต์
บางช่วงของถนนทางโล่ง ๆ ยาว ขอกดคันเร่งทำความเร็ว รถวิ่งขึ้นไประดับ 140-150 กม. และยังไม่ท่าทีว่าจะหยุดเท่านั้น
ปอร์เช่ เคลมความเร็วสูงสุดของรถคันนี้ไว้ที่ 263 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็ว 0-100 กม.ต่อ ชม. ใช้เวลาเพียง 4.7 วินาทีเท่านั้น
ส่วนระยะทางวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุดเคลมไว้ที่ 90 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EAER City) แต่เบ็ดเสร็จเราวิ่งกันอยู่ราว ๆ 130-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้ไฟฟ้าวิ่งจนหมด ทำได้ราว ๆ 93 กม. ก่อนระบบจะตัดมาเป็นน้ำมัน ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากรูปแบบการขับขี่ที่จังหวะการถอนเท้า ระบบของรถ เชนจ์ไฟฟ้ากลับมาสะสมที่ตัวแบตเตอรี่ ทำให้มีระยะทางในการวิ่งด้วยไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย
โดยส่วนตัวแล้วถือว่า ระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริดนี้ มีความเหมาะสมกับผู้ใช้รถที่มีระยะทางการวิ่งชัดเจน วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วย ไม่เกิน 90-100 กิโลเมตร ใน 1 วัน เช้าออกเดินทาง เย็นกลับมาเสียบชาร์จไฟฟ้า น่าจะเหมาะสม
ก่อนที่ช่วงกลับ เปลี่ยนไปนั่งที่เบาะด้านข้างคนขับ สำรวจตรวจตรา
ความหรูหราและความสบายที่เจ้ารถเอสยูวีคันนี้มีมาให้ เบาะนั่งโอบกระชับนั่งสบาย เบาะนั่งไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งสำหรับเบาะผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมม่านบังแดดด้านหลัง
สำหรับเบาะหนังมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ หรือสีแดงบอร์กโด (Bordeaux Red) พร้อมตราสัญลักษณ์ปอร์เช่บนพนักพิงศีรษะที่เบาะคู่หน้า
พวงมาลัย GT Sports มัลติฟังก์ชั่น พร้อมแพดเดิลชิฟต์ และแพ็กเกจ Sport Chrono พร้อมนาฬิกา Porsche Design บ่งบอกถึงความหรูหรา แฝงไปด้วยคลาสสิก ส่วนหน้าจอแสดงข้อมูลดิจิทัลแบบโค้งมนขนาด 12.6 นิ้ว ระบบ Infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อครบครัน
พื้นที่ภายในห้องโดยสารเหลือเฟือ เเม้จะเป็นที่ออกแบบมาในสไตล์เอสยูวีคูเป้ หลังคาพาโนรามิกรูฟ เต็มบาน ช่วยให้รู้สึกโปร่งมากขึ้น
ระบบแอร์ควบคุมอุณหภูมิแยก 4 โซน เครื่องฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร
ส่วนหน้าตาของรถคันนี้ มาด้วยสไตล์เอสยูวี สปอร์ต มีทั้งความปราดเปรียว หรูหรา ทรงพลัง
สะดุดตาด้วย ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED ออกแบบใหม่ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มาพร้อมกับโมดูลความละเอียดสูง 2 ชุด และพิกเซลกว่า 32,000 พิกเซลต่อโคม ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่
เพิ่มความดุดันด้วยล้ออัลลอย ลวดลาย คาเยนน์ (Cayenne) ขนาด 20 นิ้ว สีเทา Vesuvius Grey
สำหรับ “ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด” มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว สีเงิน และสีดำ ส่วนออปชั่น ทางเอเอเอส และปอร์เช่ เลือกใส่มาให้ลูกค้าแล้ว ส่วนใครที่อยากจะเลือกออปชั่นเพิ่ม เอเอเอสกระซิบว่า ยังสามารถทำได้เช่นเดิม เทเลอร์เมดได้ตามความต้องการ เป็นเวอร์ชั่นนำเข้าจากเยอรมัน ซึ่งราคาจำหน่ายจะสูงกว่านี้
ส่วน “ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด” เวอร์ชั่นนี้ ขับดี ราคาโดน แค่ 6.29 ล้าน