MINI Cooper SE แรง-แบตใหญ่-ราคาเบา (ลง)

MINI Cooper SE
คอลัมน์ : เทสต์คาร์
ผู้เขียน : วุฒิณี ทับทอง

ถือเป็นการเมอร์เจอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ สำหรับรถยนต์มินิ คูเปอร์ เอสอี คันนี้

ต้องบอกว่า มินิผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นของการดีไซน์เอาไว้อย่างดี

กับรถในเจเนอเรชั่นที่ 5 โดยมีปรับเปลี่ยนใช้ชื่อ “คูเปอร์” กับรถที่มากับตัวถังแบบ 3 ประตู หรือ 5 ประตูเท่านั้น และจะไม่มีคำว่า “คูเปอร์ในรุ่น” คันทรีแมน หรือรุ่นอื่น ๆ อีกต่อไป

สำหรับการออกแบบ รูปร่างหน้าต่างของเจ้ามินิ คูเปอร์ เอสอี คันนี้ ถือว่า ลงตัวสุด กับการผสานดีไซน์มินิ แบบคลาสสิก เอาเข้ามาผสานกับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100% ทำให้รถคันนี้ กลายร่างเป็น Electrifled Go-Kart ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สะดุดตา กับชุดโคมไฟฟ้า ทรงกลมอันเป็นเอกลัษณ์ที่โดดเด่นด้วยความเรียบง่าย แต่ดูมีอะไร

แถมมินิยังเพิ่มลูกเล่นใส่เข้ามาในชุดโคมไฟฟ้า ด้วยโหมดไฟ ซิกเนเจอร์ให้เลือกปรับใช้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Classic, Favoured, JCW ที่มีการปรับเปลี่ยนเส้นสายของชุดไฟในรูปแบบต่าง ๆ

Advertisment

ด้วยความคันนี้ ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า 100% มินิออกแบบกระจังหน้ามาในทรงแปดเหลี่ยม เน้นความสปอร์ต ด้วยสีเงินโครเมียม

MINI Cooper SE

Advertisment

มีแถบตัวเอส สีเหลือง มาติดที่แผงกระจัง บอกว่า นี่คือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ส่วนมือจับประตูเป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนซุ้มล้อ และขอบด้านข้างรถเสมอกับผิวตัวถังรอบคัน ออกในแบบฉบับของมินิ คลาสสิกได้อย่างลงตัว ที่สำคัญ ยังช่วยทำให้รถดูมีขนาดใหญ่ขึ้น ล้อขนาด 18 นิ้ว แบบ Slide Spoke สีทูโทน ส่วนด้านท้ายมีเส้นคาดสีดำพาดแนวนอนที่บริเวณกึ่งกลางฝากระโปงท้าย ชุดไฟท้ายออกแบบใหม่ ลงตัว

ภายในห้องโดยสาร มินิเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลมาเป็นตัวประกอบสำคัญ เพื่อแสดงถึงความตั้งใจไปสู่ความยั่งยืน ทั้งแผงหน้าปัด แผงประตู ช่องเก็บของต่าง ๆ ทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 100%

แผงคอนโซลหุ้มด้วยผ้าถักลายตารางทูโทน ส่วนกล่องเก็บของบุด้วยผ้าถักจากวัสดุพิเศษ

สะดุดตาเป็นพิเศษกับหน้าจอ OLED ทรงกลมมีความละเอียดสูง ช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานไม่ต่างจากการใช้สมาร์ทโฟน หน้าจอใหญ่ ชัดเจน บอกข้อมูลสำคัญของตัวรถ ทั้งความเร็ว สถานะแบตเตอรี่ หรือจะปรับให้เป็นหน้าจอนำทาง ความบันเทิงต่าง ๆ รองรับระบบการเชื่อมต่อ ทั้งแอนดรอยด์ และแอปเปิล

มินิยังเพิ่ม Head-up Display มาช่วยให้กับผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากด้านหน้าของรถMINI Cooper SE

หน้าจอ Mini Interaction Unit มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เลือกได้ถึง 7 โหมดตามความต้องการ ทั้งยังจำลองเสียง และสีสันของหน้าจอ ปรับระบบไฟในห้องโดยสารมาช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ ได้แก่

Core Mode ถือเป็นโหมดมาตรฐานการในขับขี่หน้าจอ ปรับระบบไฟในห้องโดยสารโทนสี Laguna ซึ่งจะมาพร้อมกับ Comfort โหมดมีการจำลองเสียงแบบมาตรฐานให้ผู้ขับและบุคคลภายนอกได้ยินไปพร้อมกัน

Go-Kart Mode เปลี่ยนสีหน้าจอสีดำ Anthracite ผสมสีแดง ไฟในห้องโดยสารเป็นสีแดง เพิ่มความเร้าใจด้วยเสียงของรุ่นจอนห์ คูเปอร์ เวิร์คส์

Green Mode โหมดการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มาในโทนสีเขียวนวลตา และหน้าจอ จะเปลี่ยนเป็นรูป “นกบิน”

เราใช้โหมดนี้แล้ววิ่งด้วยการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูง แต่หากเกินกว่านั้น หน้าจอจะเปลี่ยนเป็น “เสือชีตาห์” เข้ามาวิ่งแทน นัยว่า คุณได้ใช้พลังงานเกินกว่า ความประหยัดในโหมดนี้ไปแล้ว

Vivid Mode ที่ความสามารถในการซิงค์แสงไฟภายในกับภาพปกอัลบัมของเพลงที่กำลังเล่น ใช้เทคโนโลยีลูกเล่นสี “Color Grabber”MINI Cooper SE

Personal Mode การรองรับภาพพื้นหลังที่เลือกเอง ไปจนถึงการสะท้อนภาพประวัติศาสตร์สุดคลาสสิกของมินิ ผ่านทั้งภาพและเสียงใน Timeless Mode หรือบรรยากาศความเรียบง่าย สงบ สบายใน Balance Mode

ส่วนด้านล่างของหน้าจอ MINI Interaction Unit ติดตั้งแผงควบคุม Toggle Bar ดีไซน์ใหม่ แต่ให้ความนึกถึงมินิรุ่นคลาสสิก ใช้งานสะดวกง่ายดาย ทั้งเบรกมือ สวิตช์เลือกเกียร์ สวิตช์หมุนสตาร์ต/ดับเครื่อง สวิตช์สลับโหมด MINI Experience หรือปุ่มการควบคุมระดับเสียงเพลง

ส่วนขุมกำลังของการขับเคลื่อน รถคันนี้ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น กว่ารุ่นเดิม (มินิ อีเอส) ที่ใช้ขุมกำลังระบบไฟฟ้ารุ่นล่าสุดให้กำลัง 160 กิโลวัตต์ หรือ 218 แรงม้า ส่วนแรงบิด 330 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียง 6.7 วินาที

ช่วงล่างที่ปรับแต่งมาเพื่อการควบคุมที่คล่องตัว ด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ฐานล้อที่ยาวขึ้นและขยับไปชิดมุมรถทั้ง 4 ด้าน (Short Overhang) ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้นMINI Cooper SE

เรียกว่า มินิรักษาความเป็นเอกลักษณ์สไตล์การขับขี่แบบโกคาร์ตไว้ได้อย่างครบถ้วน ให้ความรู้สึกแม่นยำเมื่อนั่งควบคุมด้านหลังพวงมาลัย ส่วนกำลังขอรถคันนี้ ตลอดเส้นทางการทดสอบ จากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ อ.หนองแซง จ.สระบุรี เลือกใช้ Green Mode วิ่งนั้นเพียงพอ ทั้งในส่วนของกำลังที่ไม่ได้ด้อย หรือลดไปจากฟีลลิ่งของการขับรถเครื่องยนต์สันดาปแต่อย่างใด วิ่งกันเฉลี่ยราว ๆ 120-130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมระยะทางวิ่งไป 92.2 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลื้องพลังงานอยู่ที่ 14.7 kWh/100 Km เหลือระยะทางในการวิ่งได้อีก 275 กิโลเมตร

ต้องชม เพราะมินิเซตอัพระบบการขับขี่ ช่วยให้ฟีลลิ่งด้านหลังพวงมาลัย นั้นเป็นธรรมชาติสุด ๆ เหมือนขับรถเครื่องยนต์ปกติ จังหวะกดชูตคันเร่ง เพื่อเร่งแซง หรือออกตัว มาเอี๊ยดอ๊าดสไตลล์รถอีวี สัมผัสได้ถึงอาการหลังติดเบาะ

ความสนุกสนานของการขับขี่ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจากมินิเลือกใช้ตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ในพื้นรถ ยังทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลให้รถมีความสามารถในการยึดเกาะและการควบคุมได้ดี

ที่สำคัญมินิ คูเปอร์ เอสอี เวอร์ชั่นนี้ ยังพัฒนาระยะทางต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง แบตเตอรี่แรงดันสูง 54.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมงในมินิ ให้เพิ่มขึ้น เป็น 402 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP เรียกว่า เพิ่มมาเท่าตัวจากเวอร์ชั่นก่อนMINI Cooper SE

มินิเคลมว่า สามารถรองรับการชาร์จได้ ได้ทั้งแบบ AC สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ส่วนการชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ ชาร์จจาก 10% ถึง 80% ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาทีเท่านั้น แถมแบตเตอรี่รุ่นนี้ยังรองรับการตั้งค่าการชาร์จต่าง ๆ เช่น เวลาชาร์จ ระดับแบตเตอรี่ที่ต้องการ และอื่น ๆ พร้อมการเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่จากหน้าจอมือถือผ่าน MINI App

สำหรับราคาค่าตัวมินิ คูเปอร์ เอสอี ใหม่ อยู่ที่ 1,699,000 บาท พร้อมแพ็กเกจ MSI Standard แต่ถ้าใครต้องการเพิ่ม ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่หลากหลาย รวมถึงฟังก์ชั่นจอดรถอัตโนมัติอย่าง Parking Assistant และแพ็กเกจ Driving Assistant ซึ่งสามารถเลือกอัพเกรดเป็น Driving Assistant Plus ที่มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ก็สามารถเลือกช็อปได้ตามเงื่อนไขที่มินิกำลังให้เลือกสมัครได้ในแบบ 1 เดือน 1 ปี 3 ปี และตลอดอายุการใช้งาน ตามความต้องการMINI Cooper SE