“พระนครยนตรการ” คว้าสิทธิดิสทริบิวเตอร์ขายรถ EV ลีปมอเตอร์ในเครือสเตลแลนติส ประเดิมรุ่นแรก C10 เตรียมแต่งตั้งดีลเลอร์ช่วงแรก 10 ราย ใน กทม.และหัวเมืองใหญ่ เมินเข้าโครงการสนับสนุนรถ EV ของรัฐบาลไทย ลั่นใช้โรงงานมาเลย์ได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เชื่อราคาแข่งขันได้สบาย ๆ
แหล่งข่าวในวงการรถยนต์เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้รับการทาบทามจากกลุ่มพระนครยนตรการ หรือ PNA GROUP ให้เข้าร่วมเป็นดีลเลอร์ขายรถ EV แบรนด์ลีปมอเตอร์ฯ (LEAPMOTOR INTERNATIONAL) โดยจะมีรถอีวี C10 เป็นเอสยูวีขนาดกลางตัวแรก ปะทะกับคู่แข่งโดยตรง อาทิ โตโยต้า ครอส, ฮอนด้า ซีอาร์-วี ระดับราคาล้านต้น ๆ
ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทำตลาดได้ราว ๆ ต้นปี 2568 สำหรับการรุกตลาดครั้งนี้ PNA GROUP จะทำหน้าที่เป็นดิสทริบิวเตอร์ สามารถแต่งตั้งดีลเลอร์ในไทย ตอนนี้เท่าที่ทราบเริ่มต้นจะมีราว ๆ 10 รายทั้ง กทม. ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ ส่วนเป้าการขายยังไม่ได้กำหนด แต่เชื่อว่าปีแรกน่าจะทำได้มากกว่า 1 หมื่นคัน
โดยการทำตลาดจะไม่เข้าร่วมโครงการสนับสนุนรถ EV3.5 ของรัฐบาลไทย เพราะไม่มีนโยบายตั้งโรงงานผลิตในประเทศ แม้ว่า PNA GROUP มีโรงงานประกอบรถยนต์บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลีของตัวเองแล้วก็ตาม แต่จะใช้วิธีนำเข้ามาจำหน่ายจากมาเลเซีย ซึ่งลีปมอเตอร์มีโรงงานอยู่ สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากเขตการค้าเสรีซึ่งไทยและมาเลเซียทำไว้ ทำให้เชื่อว่าราคาที่คาดการณ์ว่าจะเปิดตลาดในเร็ว ๆ นี้แข่งขันได้อย่างแน่นอน
“มีดีลเลอร์หลายรายตอบรับโดยเฉพาะกลุ่มรถญี่ปุ่น ทั้งที่เคยทำแบรนด์โตโยต้าและฮอนด้าและอื่นๆ นอกจากนี้ ทาง PNA GROUP ยังระบุว่า สามารถนำรถที่อยู่ในเครือของสเตลแลนติสมาทำตลาดเพิ่มเติมได้ ซึ่งกลุ่มนี้มีรถยนต์ในเครือหลายแบรนด์ ทั้งเฟียต, อัลฟ่า, แลนเซีย, โอเปิล, ซีตรอง ฯลฯ และก่อนหน้านี้ PNA GROUP ก็เคยทำตลาดมาแล้วหลายยี่ห้อ”
สำหรับกลุ่มสเตลแลนติส เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ทุ่มเงินกว่า 58,000 ล้านบาท เพื่อเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของลีปมอเตอร์ หนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ของประเทศจีน ในสัดส่วนราว 20% ตั้งบริษัทร่วมทุน “ลีปมอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” สเตลแลนติสถือหุ้น 51% ลีปมอเตอร์ 49% เพื่อรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนและระดับโลก
ขณะที่ลีปมอเตอร์ ทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในจีน โดยลีปมอเตอร์ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 110,000 คันในปี 2565 ส่งผลให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับต้น ๆ ของประเทศ พร้อมคาดการณ์ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ตั้งแต่ A ถึง E
โดยใช้พื้นฐานจากสถาปัตยกรรมล้ำสมัย สู่ 3 แพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่น ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า 100% และรถยนต์ประเภทไฮบริด สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายแรกของโลก ที่นำเทคโนโลยีการติดตั้งแบตเตอรี่เข้ากับโครงสร้างตัวถัง (Cell-to-Chassis) มาใช้กับรถยนต์ในสายการผลิต