เจาะไส้ในขายรถ 8 เดือนฟุบ ปิกอัพสูญแสนล้านไฮบริดพุ่ง

car

ค่ายรถท้อยอดขายในประเทศ 8 เดือนไม่ถึง 4 แสนคัน ไตรมาสสุดท้ายเหนื่อยแน่ต้องออกแรงเต็มเหนี่ยว ชี้ปิกอัพทั้งในประเทศและส่งออกหายไปถึง 1.5 แสนคัน สูญเม็ดเงินเกือบแสนล้านบาท กุมขมับตลาด EV ไม่โตแถมผู้เล่นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฟากญี่ปุ่นปลื้ม “ไฮบริด” ตอบโจทย์ดีดสูงขึ้นหลายเท่าตัว
ขายรถ 8 เดือนฟุบ

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถิติการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี 2567 ยังสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ปริมาณการผลิตมีราว ๆ 1 ล้านคัน ลดลงจากปี 2566 (YOY) ถึง 17.69% ขณะที่ยอดขายในประเทศก็ไม่ดีขึ้น มีจำนวนไม่ถึง 4 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเกือบ 24% เช่นเดียวกับภาคส่งออก รถยนต์สำเร็จรูปส่งออกทำได้เพียง 6.88 แสนคัน ลดลงเกือบ 5% (YOY)

“ปัญหาด้านการผลิตมาจากตัวเลขยอดขายในประเทศกับส่งออกลดลง ซึ่งการขายในประเทศหนี้ครัวเรือนคือปัญหาใหญ่ ไฟแนนซ์เข้มการปล่อยกู้ ขณะที่ส่งออกมีตลาดในหลายประเทศที่ลดลง อาทิ ออสเตรเลีย แอฟริกา ยุโรป”

ปิกอัพหาย 1.5 แสนคัน

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงภาวะการขายโดยแยกเป็นรายเซ็กเมนต์ว่า ตลาดปิกอัพน่าตกใจมากสุด ยอดขาย 8 เดือนปี 2567 มีแค่ 1.1 แสนคัน เปรียบเทียบช่วงเดียวกันปีที่แล้วซึ่งทำได้เกือบ 1.9 แสนคัน ทำให้เห็นว่าตลาดปิกอัพในประเทศถดถอยไปเกือบ 1 แสนคัน ไม่ต่างจากตลาดส่งออก 8 เดือนปี 2567 ทำได้ 3.9 แสนคัน ขณะที่ปี 2566 ช่วงเวลาเดียวกันทำได้ 4.3 แสนคัน เท่ากับว่าหายไปอีกเกือบ 5 หมื่นคัน ดังนั้น เซ็กเมนต์ปิกอัพ ถ้ารวมทั้งตลาดในประเทศและส่งออก หายไปราว ๆ 1.5 แสนคัน ส่งผลให้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมรถยนต์สูญไปเกือบแสนล้านบาท

ตลาด EV ไม่โต

นอกจากตลาดปิกอัพซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาการซื้อรถกู้ไม่ผ่าน ตลาด EV ที่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ปีนี้ตลาดน่าจะทะลุ 1 แสนคัน ปรากฏว่า 8 เดือนยังไปไม่ถึง 5 หมื่นคัน ปริมาณการขายใกล้เคียงกับปีก่อน เชื่อว่าทั้งปีเข็นอย่างไรก็ไม่ถึง 1 แสนคันแน่ นอกจากตลาดจะดูเหมือนไม่โตแล้ว ในตลาดยังมีจำนวนผู้ประกอบการมากรายขึ้น จากเดิมที่มีเพียง 5-6 ราย ปรากฏว่าปีนี้กลับมีผู้เล่นเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว และมีรายงานเพิ่มเติมว่าช่วงเวลา 8 เดือน BYD ขายได้ 20,878 คัน, เอ็มจี 11,671 คัน, ฉางอาน 5,855 คัน, เกรท วอลล์ฯ 4,799 คัน, GAC 3,791 คัน, NETA 3,415 คัน, Tesla 2,988 คัน โดยมีเพียง BYD เจ้าเดียวเท่านั้นที่มีผลประกอบการดีขึ้น ส่วนเกรท วอลล์ มอเตอร์ ยอดขายทรุดตัวลงต่อเนื่อง เฉพาะเดือนสิงหาคมมียอดขายเพียงหลักร้อยต้น ๆ เท่านั้น

ขายต่ำสุดรอบ 10 ปี

แหล่งข่าวในวงการรถยนต์กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ยอดขายในขณะนี้อาจได้เห็นตัวเลขต่ำสุดในรอบ 10 ปี หรือทั้งปีขายได้เพียงแค่ 600,000 คันเท่านั้น เพราะต้องเผชิญปัจจัยลบเยอะมาก ทั้งหนี้ครัวเรือนและสภาพเศรษฐกิจ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย น่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ได้รับผลกระทบโดยตรง

ADVERTISMENT

“หากเรามองจากตัวเลขที่เห็นอยู่กับช่วงเวลาที่เหลืออีก 4 เดือนเหนื่อยแน่ ๆ วันนี้ยอดขายรถยนต์อยู่ที่ 399,000 คัน กับช่วงเวลาที่เหลือ หากขายเฉลี่ยราวเดือนละ 70,000 คัน ก็ต้องลุ้นเพราะลำพังแค่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยอดขายยังไม่ถึง 50,000 คัน ยังต้องดูว่าจะมีปัจจัยอะไรมากระตุ้นตลาดได้หรือไม่”

ญี่ปุ่นปลื้มไฮบริดมาแรง

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เซ็กเมนต์ที่ยังไปได้สวยตอนนี้คือ กลุ่ม xEV เฉพาะเดือนสิงหาคมขายได้ 17,090 คัน คิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ADVERTISMENT

เชื่อว่าตลาดรถยนต์ในเดือนกันยายน ยังมีแนวโน้มทรงตัว แต่หากเทียบปีที่แล้วก็คงลดลง แต่จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยปัญหาน้ำท่วม และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับตลาดไฮบริด ซึ่งระยะหลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากค่ายรถยนต์ที่มีการคลอดผลิตภัณฑ์เครื่องยนต์ขนาดเล็ก หลายรุ่น ทำให้ราคาผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย หากพิจารณาจากตัวเลขยอดขาย 8 เดือนปี 2567 จะเห็นว่าทุกยี่ห้อทำได้ 8.4 หมื่นคัน โตขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งทำได้ 5.2 หมื่นคัน รวมถึงตลาดส่งออกไฮบริดก็โตขึ้น โดย 8 เดือนปี 2567 ทำได้ 3.4 หมื่นคัน เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้แค่ 6 พันคัน ส่งผลให้เฉพาะค่ายญี่ปุ่นปลื้มกับตัวเลขนี้มาก โดยรวมตัวเลขที่ขายได้เพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกสูงถึง 6 หมื่นคัน

“รถไฮบริดระยะหลังตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้นจริง ทั้งราคาขายที่มีให้เลือกตั้งแต่ 7 แสนบาทขึ้นไป มีจุดขายด้านความประหยัดและไฮบริดยังตอบโจทย์ลูกค้าที่อยากใช้รถที่ช่วยลดมลพิษ แต่พอขยับไปใช้รถ EV เจอปัญหาด้าน EV อีโคซิสเต็มโดยเฉพาะจำนวนสถานีชาร์จที่ยังไม่เพียงพอ ทำให้ระยะหลังไฮบริดกลายเป็นพระเอกของตลาด” ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นกล่าว

ไฮบริดจะแรงกว่า EV

นายไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ นักวิชาการชื่อดัง เขียนในคอลัมน์ชีพจรเศรษฐกิจโลก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระบุเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ข้อมูลใหม่ทางด้านการตลาดของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกแสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจอย่างยิ่งประการหนึ่ง นั่นคือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของยอดขายยานยนต์ประเภท “ไฮบริด” ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ยอดขายรถ EV แท้ ๆ กลับเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 8% เท่านั้น