ส่องอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย “ซึมยาว” ลุ้นมาตรการแก้หนี้ฟื้นตลาดปีหน้า

car factory

อุตฯรถยนต์ไทยที่เคยเป็นเหมือนตัวละครเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศถูกยอมรับเป็น “ดีทรอยต์ออฟเอเชีย” เคยทำยอดการผลิตต่อปีสูงสุดถึง 2.5 ล้านคัน สร้างผลิตผลทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท วันนี้ความโชติช่วงชัชวาลดังกล่าวกำลังถูกท้าทายและถูกถล่มด้วยมรสุมลูกใหญ่ ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อตลาดส่งออกภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่ตกต่ำที่ฉุดกำลังซื้อให้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนสูงปรี๊ดรบกวนการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและไฟแนนซ์ต่าง ๆ จนกลายเป็น “วิบากกรรม”

ปรับเป้าขายเหลือ 5.5 แสน

แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ตลาดรถยนต์ที่ทรุดตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2567 ทำให้สภาอุตฯ ผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ มีมติตรงกันจำเป็นต้องปรับเป้าผลิตทั้งขายในประเทศและส่งออก

โดยคาดว่ายอดขายในประเทศทั้งปีน่าจะเหลือเพียง 5.5 แสนคัน จากเดิมที่เคยมีตัวเลขเฉลี่ย 8-9 แสนคันต่อปี ส่วนตัวเลขส่งออกน่าจะเหลือเพียง 1.15 ล้านคันต่อปี ทำให้กำลังผลิตทั้งปีซึ่งเดิมมีอยู่ราว ๆ 2 ล้านคัน ปีนี้จะเหลือเพียง 1.7 ล้านคันเท่านั้น

“ตอนนี้ทั้งค่ายรถยนต์และชิ้นส่วนต้องลดกำลังการผลิตลงเยอะมาก แรงงานที่เคยได้โอทีในช่วงตลาดพีก ตอนนี้นอกจากไม่มีโอทีแล้ว เวลาการทำงานก็ลดลงล่าสุดสัปดาห์หนึ่งทำงานกันไม่ถึง 5 วัน”

ยอดขายที่ลดลงกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์เป็นผลมาจากการเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อให้ผู้ซื้อรถยนต์ เพราะตอนนี้หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) ยังอยู่ในระดับสูงที่ 208,575 ล้านบาท หนี้เสียรถยนต์อยู่ที่ 259,330 ล้านบาท และหนี้ครัวเรือนยังสูงถึง 90% จีดีพี ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถ้าจะให้อยู่ในช่วงปลอดภัยไม่ควรเกิน 80%

ตลาดซึมยาวถึงปีหน้า

นางสาวฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังต้องซึมอีกยาว กว่าจะผ่านจุดต่ำสุดน่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังปี 2568 จากนั้นจะทยอยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และมองว่าตลาดรถยนต์ ทั้ง “อีวี-ไฮบริด” ยังไปได้สวยน่าจะกวาดยอดขายได้มากกว่า 30% ของตลาดรวม

ADVERTISMENT

“เราเชื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงเผชิญความท้าทายจากอุปสงค์ในประเทศที่เปราะบาง ส่งผลให้ตลาดรถยนต์และจักรยานยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่กลุ่มยานยนต์เชิงพาณิชย์คาดว่าจะทยอยกลับมาคึกคัก โดยได้รับอานิสงส์จากการค้าชายแดนและผ่านแดน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่

ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2568 คาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำที่ 5.5 แสนคัน ขณะที่ในระยะปานกลาง มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าและยังไม่สามารถกลับสู่ช่วง Pre-COVID ได้ในภายในปี 2571 เนื่องจากเผชิญกับผลพวงต่อเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภค”

ADVERTISMENT

ซึ่งประกอบด้วย 1.สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ 2.กำลังซื้อในภาพรวมค่อนข้างเปราะบาง 3.พฤติกรรมการใช้รถของคนไทยยาวนานขึ้น และ 4.การแข่งขันด้านราคาที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อรถออกไป

สำหรับอุตฯรถยนต์ในปี 2568 ตลาดรถบรรทุกจะได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมขนส่งตามแนวชายแดนและการค้าผ่านแดนเติบโตได้ต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดรถโดยสารได้รับอานิสงส์จากภาคท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก

ส่วนภาคการส่งออกรถจักรยานยนต์ในปี 2568 คาดว่าจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ เพราะอุปสงค์จากคู่ค้าสำคัญทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป และจีน

ตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้า (Hybrid และ EV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 ยอดขายรถกลุ่มนี้จะอยู่ที่ราว 2.1 แสนคัน หรือมากว่า 30% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศทั้งหมด โดยตลาดรถไฮบริดนับเป็นแรงส่งสำคัญเพราะผู้บริโภคมีการเปิดรับรถกลุ่มนี้มากขึ้น ทั้งในรถระดับกลาง รวมถึงตลาดรถหรู ขณะที่ยอดขายรถ EV มีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่าส่วนแบ่งตลาดในระยะปานกลางจะทรงตัวอยู่ที่ 10% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศ

ทั้งนี้ ปัจจัยฉุดรั้งการเปิดรับรถ EV จากฝั่งผู้บริโภคเกิดจากความกังวลใน 4 ประเด็นสำคัญ คือ

1) ความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จสาธารณะ 2) ปัญหาอุปทานอะไหล่ยนต์ในประเทศและตัวเลือกอู่ซ่อมบำรุงรายย่อยยังมีค่อนข้างจำกัด 3) ผลพวงจากสงครามราคารถ EV ที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทยอยปรับลดลง 4) ต้นทุนการถือครองบางส่วนยังอยู่ในระดับสูง อาทิ เบี้ยประกันและอัตราการเสื่อมมูลค่า

ทั้งนี้ หากพิจารณาพัฒนาการห่วงโซ่อุปทาน EV ในประเทศไทยจะพบว่า กำลังการผลิตรถ EV ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยภายในปี 2568-2571 จะขยายตัวสู่ระดับ 6 แสนคัน/ปี

ลุ้นมาตรการแก้หนี้ฟื้นตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ปัญหาหนี้เสียรถยนต์ซึ่งกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งคลัง-แบงก์ชาติ-สมาคมธนาคารไทย กำลังเดินหน้าปลดล็อก โดยกระทรวงการคลัง เปิดเงื่อนไขว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมต้องค้างจ่ายไม่เกิน 1 ปี หนี้รถยนต์ไม่เกิน 8 แสนบาท ได้สิทธิพักดอกเบี้ย 3 ปี พร้อมทั้งลดค่างวดเหลือครึ่งเดียว

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวทางการแก้หนี้เป็นเรื่องดี และเชื่อว่าน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง เนื่องจากกลุ่มนี้ต้องการนำรถไปใช้งานเพื่อประกอบอาชีพและหารายได้ หากมีมาตรการเข้ามาช่วยส่งเสริมหรือปลดล็อกตรงนี้ น่าจะทำให้ลูกค้าผู้ใช้รถเพื่อการประกอบอาชีพสามารถมีรถเพื่อนำไปใช้งานหารายได้ และมีความสามารถมากขึ้น เงินก็จะหมุนเวียนเข้าระบบ เศรษฐกิจประเทศก็จะไปได้ต่อ

“ที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มลูกค้ารถปิกอัพที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อของตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 50% นอกจากแก้หนี้แล้วถ้ามีมาตรการเสริมคลายล็อกสินเชื่อก็จะทำให้ตลาดรถยนต์กระเตื้องขึ้นได้อย่างแน่นอน”

ไม่ต่างจาก นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ กรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ดีใจที่รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาของผู้ใช้รถปิกอัพ ซึ่งเป็นรถที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นรถที่ผู้คนทั่วไปใช้ในการทำมาหากิน

อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการซื้อรถปิกอัพให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากรถปิกอัพเป็น Product Champion ของไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดี ทั้งในแง่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เพราะมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศมากมายในการผลิตรถปิกอัพ

ไทยยอดขายหล่นเจ้าเดียว

วิบากกรรมในอุตฯรถยนต์ไทยปีนี้ แม้แต่สำนักข่าวต่างประเทศยังมองว่าหนักหนาสาหัส โดยมีรายงานว่า ประเทศไทยนับเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ยอดขายรถยนต์หดตัวลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ต่างจากประเทศอื่น ๆ ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ที่มียังมีทั้งขึ้นและลง

และที่สำคัญขณะนี้ประเทศไทยหล่นไปอยู่อันดับที่ 3 ของตารางโดยถูกมาเลเซียแซงหน้าไปเรียบร้อย แม้ว่าแผนรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแข็งขันด้วยโครงการอุดหนุน ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน 7 ราย ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ก็ยังไม่สามารถผลิตได้เต็มกำลังการผลิต

โดยมองว่าอุปทานที่ล้นเกินในช่วงที่กำลังซื้ออ่อนแอ ได้จุดชนวนให้เกิดสงครามราคาตามมาอีกด้วย รวมถึงมองยาวไปถึงอนาคตว่าประเทศไทยอาจจะถูกฟิลิปปินส์ ซึ่งระยะหลังอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจดีขึ้นเรื่อย วิ่งแซงหน้าได้เช่นกัน