ปิกอัพร่วงหนัก “อีซูซุ” ขายต่ำสุดในรอบ 23 ปี รับปีนี้ไม่ถึง 8 หมื่นคัน

ทาคาชิ ฮาตะ : กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด

ค่ายอีซูซุ เผยตลาดรถปิกอัพเผชิญสถานการณ์หนักสุดในรอบ 23 ปี  ร่วงหนัก 10 เดือนขายได้แค่ 1.3 แสนคัน ยอมรับปีนี้อีซูซุขายไม่ถึง 80,000 คัน หวังเครื่องยนต์ใหม่ 2.2 Ddi MAXFORCE ช่วยดันยอด พร้อมกระทุ้งรัฐบาล เร่งหามาตรการช่วยเหลือเพิ่ม  

นายทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผย ถึงภาพรวมตลาดรถยนต์ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาว่า มียอดขายทั้งสิ้น 478,341 คัน ลดลง 26.2% ในจำนวนนี้แบ่งเป็นรถปิกอัพ 137,456 คัน ลดลงมากถึง 39.5% ส่วนอีซูซุ มียอดขายรถยนต์รวมทุกประเภท 71,361 คัน แบ่งเป็น มิว-เอ็กซ์ จำนวน 10,203 คัน, ดีแมคซ์ ​จำนวน 51,813 คัน และรถบรรทุกขนาดกลาง-ใหญ่ จำนวน 9,345 คัน

ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือน คาดว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมไม่น่าจะถึง 200,000 คัน ทำให้เชื่อว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมของปี 2567 นี้จะอยู่ที่ 600,000 คัน

ส่วนอีซูซุเองคาดว่ายอดขายโดยรวมทั้งปีไม่น่าถึง 80,000 คัน ซึ่งถือเป็นยอดขายต่ำสุดในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา

ซึ่งต้องยอมรับว่าตลาดรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำและกำลังซื้อที่อ่อนแอ รวมทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนและมาตรการความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อ ที่ผ่านมาส่งผลกับตลาดรถยนต์โดยรวมโดยเฉพาะรถปิกอัพ

แต่อย่างไรก็ตาม อีซูซุเชื่อว่ามาตรการสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้รถเพื่อประกอบอาชีพ น่าจะเป็นแนวทางที่ช่วยเหลือและผลักดันให้อุตสาหกรรมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ADVERTISMENT

รถปิกอัพถือเป็นโปรดักต์แชมเปียนส์ ที่มีการใช้ชิ้นส่วนและซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง เมื่อตลาดหดตัวอย่างรวดเร็วทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมยานยนต์และสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก อีซูซุคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอื่น ๆ ช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์และตลาดรถยนต์ไม่ใช่แค่นี้ เพราะถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยที่จะต้องช่วยเหลือให้ดีขึ้น

ล่าสุดบริษัทได้แนะนำเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.2 Ddi MAXFORCE มาเสริมทัพ ให้กับรถ “ดีแมคซ์ มิว-เอ็กซ์” จากปัจจุบันที่มีในส่วนของเครื่องยนต์ขนาด 1.9 ลิตรและ 3.0 ลิตรให้กับลูกค้าอยู่แล้ว

ADVERTISMENT

และเชื่อว่าเครื่องยนต์ 2.2 Ddi MAXFORCE จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าและผลักดันให้มียอดขายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตลาดรถปิกอัพโดยรวมจะยังไม่กระเตื้องขึ้นก็ตาม แต่บริษัทต้องการนำเสนอทางเลือกและรักษาสมดุลความประหยัดน้ำมันกับความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เราหวังว่าเครื่องยนต์นี้จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วย

“สัดส่วนการขายปัจจุบันเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรอยู่ที่ 70% ของยอดขายโดยรวมและอีก 30% เป็นเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร เมื่อเราเพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรเข้ามา ก็ยังเชื่อว่าสัดส่วนการขายไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง โดยจะเป็นเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรและ 2.2 ลิตร รวมกันอยู่ที่ 70% และอีก 30% ยังคงเป็นเครื่องยนต์ขนาด 3 ลิตร โดยราคาจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์ 2.2 ลิตรเพิ่มขึ้นมาอีกรุ่นละ 10,000 บาท จากรุ่นเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร”