คอลัมน์ : เทสต์คาร์ ผู้เขียน : วุฒิณี ทับทอง
สร้างความคึกคักให้กับตลาดรถยนต์ MPV บ้านเราพอสมควร หลังจาก เรเว่ ออโต โมทีฟ ประกาศราคาขาย DENZA D9
- เริ่มต้นที่ 1,999,9000 บาท สำหรับรุ่น Premium
- และ 2,699,900 ล้านบาท สำหรับรุ่น Performance AWD ขับเคลื่อน 4 ล้อ
จะเห็นว่า ทั้งสองรุ่นมีราคาต่างกันอยู่
สิ่งที่แตกต่างกัน ระหว่างรถ DENZA D9 ทั้งสองรุ่น เมื่อคุณตัดสินใจจ่ายเงินเพิ่มราว ๆ 7 แสนบาท แน่นอนว่าน่าจะเห็นชัดถึงความแตกต่าง ระหว่างรถทั้งสองรุ่นคือ
กำลังที่เพิ่มมากขึ้น ในรุ่น Performance AWD เป็น 275 กิโลวัตต์ 470 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 ภายใน 6.9 วินาที และช่วงล่างอัพเกรด เข้ามาคือ แบบถุงลม ที่มีการติดตั้งระบบกันสะเทือนอัจฉริยะ DiSus-C ที่เป็น เอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD วิ่งได้ 580 กิโลเมตร
เพดานห้องโดยสารบุด้วยหนังกลับ และมีกระจกตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมกระจกมองหลังแบบสตรีมมิ่งเป็นภาพวิดีโอ ซึ่งตรงนี้หากไม่คุ้นชินจะใช้งานยาก เพราะภาพเวลามองกระจกมองหลังเหมือนการดูผ่านจอ
แต่เมื่อเลือกปิด วิดีโอ มาเป็นกระจกตัดแสง ให้ภาพมุมที่ค่อนข้างหลอกตา
ขณะที่รุ่น Premium จะได้กำลังแค่ 230 กิโลวัตต์ 360 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 ภายใน 9.5 วินาที ส่วนช่วงล่างธรรมดาติดตั้งระบบกันสะเทือนปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD ส่วนระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง ทำได้ 600 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC)
นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดปลีกย่อยของรถทั้งสองรุ่นไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน ทั้งมิติขนาดของตัวรถ ที่พัฒนาบน e-Platform 3.0 ความจุแบตเตอรี่ 103.36 กิโลวัตต์เรียกได้ว่า ใครที่กำลังมองหารถ MPV ไว้ใช้งาน รายละเอียดปลีกย่อยของเจ้า DENZA D9 ทั้ง 2 รุ่นนี้ ให้ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารไม่แตกต่างกัน
ด้วยห้องโดยสารแบบ VIP Cockpit แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง มาทั้งความหรูหรา โอ่อ่า เรียบหรูดูมีเทสต์
เปิด ประตูสไลด์ไฟฟ้า ขึ้นไปนั่งที่เบาะแบบกัปตันซีต สัมผัสได้ถึงความโอบกระชับ ความสบาย คล้ายนั่งอยู่ในโซฟาหนังชั้นดี มี ระบบนวดไฟฟ้าพร้อมระบบระบายอากาศมาให้ เปิดแอร์ฉ่ำเรียกว่าสบายสุด ๆ
ถ้าเมื่อยกดปุ่มแบบสัมผัส เลือกฟังก์ชั่น พนักดันหลังได้ 4 ระดับ ช่วยให้คลายความเมื่อยล้าได้ เขายังมีระบบจดจำที่นั่งในแถวที่สองมาให้ หลังคากระจกบานใหญ่ ขนาด 1.1 ตารางเมตร พร้อมม่านบังแดดเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
DENZA D9 ยังเอาใจผู้โดยสาร ด้วยจอ LCD ที่บริเวณพนักวางแขน ให้สามารถควบคุมฟังก์ชั่นต่าง ๆ ได้ง่ายและสะดวกมากกว่า การบอกให้คนขับเปลี่ยนให้
แต่ที่เอาใจผู้โดยสารสุด ๆ เห็นจะเป็น ตู้เย็น ขนาด 7.5 ลิตร ซ่อนอยู่ด้านหลัง สามารถเลือกเป็น อุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -6 องศา หรือจะปรับให้ อุ่นร้อนได้ สูงสุด 50 องศา เอาเป็นว่าตลอดการเดินทางมีเครื่องดื่มให้จิบกันได้เย็นใจไปได้ตลอดเส้นทาง แถมยังมีจุดวางแก้วให้ แบบจุใจ เอาไปเลยถึง 12 ตำแหน่งรอบคัน
ส่วนที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ไม่ต้องแย่งกันใช้ เขามีให้ด้านหน้า 1 จุด และเบาะนั่งแถวที่ 2 อีกฝั่งละ 1 จุด แถมจุดชาร์จไฟ USB-A และ USB-C รวมกันถึง 7 จุด
มีหน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 15.6 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารด้านหน้ามาให้ รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ใส่เครื่องเสียงพรีเมี่ยมแบบ Hi-Fi Class Dynaudio กับลำโพง 14 ตำแหน่ง
ขณะที่เบาะนั่งของผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง มีระบบจดจำตำแหน่งที่นั่งเบาะคนขับ
ส่วนพนักพิงศีรษะที่สามารถปรับระดับสูงต่ำ และการปรับทรงให้เข้ากับสรีระศีรษะได้ 2 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และยังปรับทรงให้เข้ากับสรีระศีรษะ 4 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารแถวที่สอง
un
ต้องบอกว่า เมื่อทดสอบ รถ DENZA D9 ทั้งสองรุ่นแล้ว ในตำแหน่งของผู้โดยสาร ความแตกต่างของรุ่น Performance AWD คือการซับแรงกระแทก และจังหวะแรงโยนแรงเหวี่ยงได้ดีกว่า รุ่น Premium ที่สัมผัสกับความย้วย โยนได้อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะจังหวะเวลาผู้ขับถอนเท้า แล้วมอเตอร์เจนฯไฟฟ้ากลับ สัมผัสได้ถึงความหนืดความหน่วง ตรงนี้ถ้าใครอ่อนไหว บอกเลยว่า อาจจะมีการวิงเวียนได้เล็กน้อย
ส่วนการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารนั้น โดยรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์รับได้
นั่งในตำแหน่งด้านหลังพวงมาลัย ถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดของรถคันนี้ แต่ความมั่นอกมั่นใจ บอกเลยว่า รุ่น Performance AWD มีมาให้เหนือกว่า หากต้องการใช้รถคันนี้ขับขี่ในเมืองเป็นหลักถือว่า รับได้
แต่ถ้าต้องใช้สำหรับการวิ่งเพื่อทำความเร็วนั้น อาจจะต้องตัดใจเพิ่มเงิน 7 แสนบาท ขยับไปรุ่น Performance AWD ถือว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าจะดีกว่า