
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ ผู้เขียน : อมร พวงงาม
ในบรรดาอุตสาหกรรมแต่ละแขนงในบ้านเรา ถ้ามองกันแบบรวก ๆ ดูเหมือนว่านโยบายภาครัฐที่มีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ช่าง “ย้อนแย้ง” กันเสียจริง
แรก ๆ ส่งเสริมอย่างหนึ่ง พอมีเทคโนโลยีใหม่ เพิ่มเข้ามาก็สลัดของเก่าทิ้งไปอุ้มชูของใหม่ จนตอนนี้ค่ายรถยนต์รู้สึกว่าจับทางกันไม่ถูกเลย…ว่าจะไปทางไหนกันแน่
ใช่ครับ…กำลังพูดถึงรถที่ใช้เครื่องยนต์ “สันดาป” กับรถ “EV” ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า
ย้อนหลังไปหลายสิบปีก่อน หลายคนคงจำได้ รถยนต์ที่เป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวแรกของประเทศไทยคือ “ปิกอัพ”
ตอนนั้นก็เอาอกเอาใจกลุ่มผู้ผลิตรถปิกอัพ ช่วยกันพัฒนาจากหัวเดี่ยว มาเป็นดับเบิลแค็บ ขยายไปสู่ปิกอัพดัดแปลง กวาดเม็ดเงินเข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำ สร้างผลกำไรให้กับค่ายรถยนต์มหาศาล
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นและห่วงโซ่อุปทาน หรือบรรดาซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์ ที่เรียงแถวกันยาวเยียด
ต่อด้วย “อีโคคาร์” หรือ “รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล” ซึ่งถือเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่สอง
สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ใส่เข้าไป โดยเฉพาะด้านภาษีต่าง ๆ จัดเต็มอีกเช่นเคย เอื้อประโยชน์ให้กับค่ายรถยนต์ที่สมัครเข้าร่วมโครงการแบบเต็มเหนี่ยว
ประกอบกับช่วงนั้นพรรคเพื่อไทยซึ่งมีนโยบาย “รถคันแรก” แล้วได้บริหารประเทศพอดิบพอดี ช่วยกันผลักดัน
ใครจะเชื่อว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศทะลุไปเกือบ 1.5 ล้านคัน
ช่วงนั้นหันไปทางไหนมีแต่รอยยิ้ม ผู้บริโภคซื้อรถถูกลงคันละแสน ผู้ผลิตฟันกำไรจากรถที่ขายได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่มาวันนี้เทรนด์โลกเปลี่ยน เกือบทุกประเทศมุ่งไป EV รัฐบาลก็เชื่อด้วยว่ามอเตอร์ไฟฟ้าคือ “ทางเลือกใหม่” เลยกระโดดเกาะหลังนักลงทุนจีน หวังใช้ EV เป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่ 3 ให้โอกาสแบรนด์จีนเยอะแยะไปหมด หวังดูดเม็ดเงินลงทุน ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเอื้อประโยชน์ EV เป็นหลัก
เหมือนจะลืมค่ายญี่ปุ่นที่เคยร่วมหัวจมท้ายกันมาเลย
จริงๆ ญี่ปุ่นที่เขายังไม่พร้อมไป EV ไม่ใช่เพราะทำไม่เป็น หรือไม่มีเทคโนโลยี แต่เขายังมีภาระที่ต้องดูแลบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนอีกจำนวนมาก
ถ้าตัดสินใจเลือกกระโดดไปลุย EV ลองนึกดูรถสันดาป 1 คันใช้ชิ้นส่วนประกอบเป็นรถ 3 หมื่นชิ้น เปลี่ยนมาเป็น EV ใช้แค่ 3 พันชิ้น หายไปราว ๆ 10 เท่าตัว…ซัพพลายเออร์จะอยู่อย่างไง ยิ่งวันนี้อุตสาหกรรมรถยนต์บ้านเรากำลังปักหัวลงเรื่อย ๆ หลายโรงงานลดกำลังผลิตกันเป็นว่าเล่น
โอทีไม่ต้องพูดถึง บางโรงงานทำงานแค่ 3 วัน เกิดภาวะสงครามราคาที่ไม่ใช่แค่กระทบกับแบรนด์จีนด้วยกันเองเท่านั้น ยังลามไปกระทบทั้งญี่ปุ่น ยุโรป หนำซ้ำยังต้องเผชิญกับหนี้ครัวเรือนที่สูง ส่งผลต่อกำลังซื้อ และไฟแนนซ์ที่ไม่กล้าปล่อยเพราะกังวลหนี้เสีย ตลาดรถยนต์ที่เคยขายปีละล้านกว่าคัน เหลือ 8 แสนคัน
ปีนี้ฟันธงว่าจะเหลือแค่ 5.5-6 แสนคัน น่าจะเป็นตัวเร่งให้กลุ่มค่ายรถสันดาปพร้อมโบกมือลาบ้านเรา ที่ผ่านมามีให้เห็นแล้วบ้างประปราย
ล่าสุดแม้ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมยกทีมไปหารือกับบริษัทแม่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นแล้วก็ตาม สิ่งแรกไม่ใช่แค่บอกว่าตลาดบ้านเราน่าฟื้นตัวเร็ว ๆ นี้ เพราะรัฐบาลกำลังผลักดันหลายมาตรการ ทั้งแก้หนี้และเติมเงินในกระเป๋า “ความชัดเจน” ต่างหากที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอยากได้
อีกอย่างคือสิทธิประโยชน์สำหรับรถยนต์ไฮบริดและชิ้นส่วนสำคัญๆ รู้หรือเปล่า “ไฮบริด” ปีหนึ่งโตมากกว่า 40% แต่ “EV” โตแค่ 1% เท่านั้น
ตรงนี้ล่ะที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเขาไม่อยาก “ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”