
ค่ายรถเด้งรับแนวคิดกระตุ้นดีมานด์ เชื่อตลาดยังมีความต้องการ 3 ค่ายยักษ์ โตโยต้า อีซูซุ ฟอร์ด ประสานเสียงรัฐบาล เร่งหามาตรการสนับสนุน หลังยอดขายร่วงทั้งปี 40% ลั่นปิกอัพขายรวมแค่ 1.6-2 แสนคัน
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดรถยนต์ในปีนี้ว่า น่าจะมียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 600,000 คัน สำหรับตลาดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มรถปิกอัพ ซึ่งมีความสำคัญกับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทั้งนี้โตโยต้าเชื่อว่าดีมานด์หรือความต้องการในตลาดยังมี เพียงแต่ผู้ที่มีรายได้น้อยยังไม่สามารถเข้าถึงหรือซื้อรถปิกอัพได้ ทำให้ประเมินว่ายอดขายรถปิกอัพโดยรวมปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับเพียงแค่ 160,000 คัน หรือมีส่วนแบ่งการขายลดลงไปเหลือเพียง 30% ของยอดขายโดยรวม
“ตลาดปิกอัพถือว่าเป็นตลาดที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ทั้งนี้โตโยต้าหวังว่าหากมีมาตรการกระตุ้นให้ตลาดกระเตื้องขึ้นมาน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทย เนื่องจากปิกอัพมีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศสูง 80-90% และโตโยต้าอยากให้รัฐบาลหามาตรการมาช่วยสนับสนุนตลาดตรงนี้”
ส่วนยอดขายของไฮลักซ์ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 46% ของตลาดรถปิกอัพโดยรวม เป็นยอดขายที่น่าพอใจ แม้ว่าทุกฝ่ายยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจ และรถปิกอัพจะยังคงเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ทั้งนี้โตโยต้าต้องการนำเสนอ 3 แนวคิดหลักในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ ได้แก่ 1.มาตรการในระยะกลางและระยะยาว เพื่อสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ในส่วนของรถปิกอัพรถพีพีวีและอีโคคาร์ รวมถึงการสนับสนุนซัพพลายเชนต่าง ๆ
2.จากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมถือได้ว่าอยู่ในช่วงที่ยากลำบาก โตโยต้าอยากให้รัฐบาลหามาตรการระยะสั้นมากระตุ้นเศรษฐกิจ และ 3.การพัฒนารถยนต์ให้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่หลากหลาย ไม่เฉพาะแต่บีอีวี แต่ในส่วนของรถยนต์ไฮบริด ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ที่รัฐบาลจะต้องมีการสนับสนุนเพิ่มขึ้น
กรรมการผู้จัดการใหญ่ยังคาดการณ์ถึงภาพรวมของสภาพเศรษฐกิจโดยรวม โดยน่าจะส่งผลให้กระเตื้องขึ้นในช่วงกลางปีหน้า เป็นต้นไป
ด้านนายทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยภาพรวมตลาดรถยนต์เมืองไทยว่า ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายรวม 478,341 คัน ลดลง 26.2% ส่วนช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือน คาดว่ายอดขายปีนี้จะไม่ถึง 600,000 คัน ส่วนตลาดรถปิกอัพใน 10 เดือนแรกมียอดจำหน่าย 137,456 คัน ลดลง 39.5% ทั้งนี้คาดว่ายอดรวมปิกอัพทั้งหมดไม่น่าเกิน 200,000 คัน ขณะที่อีซูซุมองว่า คาดว่าทั้งปีจะมียอดขายไม่ถึง 80,000 คัน ต่ำสุดในรอบ 23 ปี
“อีซูซุรู้สึกยินดีที่รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของรถปิกอัพ เนื่องจากปีนี้ตลาดรถปิกอัพหดตัวอย่างรุนแรง อย่างที่ทราบดีว่าปิกอัพเป็น Product Champion ของไทย การผลิตรถปิกอัพใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยสูงมาก การที่ตลาดปิกอัพหดตัวเร็วเช่นนี้ ทำให้กระทบต่ออุตสาหกรรมไทยเป็นอย่างมาก”
นายฮาตะกล่าวต่อไปว่า อีซูซุคาดว่ารัฐบาลจะไม่ได้ออกมาตรการเพียงแค่นี้ หากแต่กำลังพิจารณาเร่งออกมาตรการอื่น ๆ มาช่วยเหลือตลาดรถปิกอัพเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับนายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวถึงภาพรวมของตลาดรถยนต์ในปีนี้ ฟอร์ดเชื่อว่าจะมียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 567,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว 26%
ส่วนฟอร์ดมียอดขายลดลงไป 40% ซึ่งมากกว่าตลาดโดยรวม ทั้งนี้เนื่องจากฟอร์ดมีสินค้าหลักคือในส่วนของรถปิกอัพฟอร์ดเรนเจอร์และรถพีพีวีอย่างฟอร์ดเอเวอเรสต์ ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายรวมกันทั้งปีอยู่ที่ 21,000 คัน ทำให้ทั้งปีฟอร์ดมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 8% ลดลงไป 0.2% จาก 8.7% ในปีที่ผ่านมา สำหรับสาเหตุที่ยอดขายลดลงไปนั้น เป็นผลกระทบโดยตรงจากภาพรวมของเศรษฐกิจ นโยบายการควบคุมหนี้ครัวเรือนของรัฐบาล และมาตรการความเข้มงวดทางด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ยอดขายปีนี้หายไปพอสมควร
ขณะที่มาตรการของรัฐบาลที่มีกระแสออกมาในส่วนของเม็ดเงินมูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นตลาดรถปิกอัพ รวมทั้งมาตรการแนวคิดรถเก่าแลกรถใหม่ของรัฐบาลที่ออกมานั้น ถือเป็นแนวคิดในการกระตุ้นดีมานด์ของตลาดที่ตรงจุด แต่ทั้งนี้ยังต้องรอดูรายละเอียดของมาตรการดังกล่าวว่าจะออกมาในแนวทางใด และรัฐบาลจะต้องบาลานซ์การให้การสนับสนุนจากแนวคิดดังกล่าว ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนให้คนกลับไปซื้อรถยนต์จากจีน
ก่อนหน้านี้ได้มีการหารือ แล้วก็มีการเจรจากับทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมทั้งค่ายญี่ปุ่น 6 ราย และกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วน เพื่อร่วมกันวิเคราะห์และหามาตรการการกระตุ้นดีมานด์ในตลาด ซึ่งแนวคิดดังกล่าว ฟอร์ดมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน
“เรามองว่าเนื่องจากปัญหาทุกวันนี้ของรถปิกอัพถือได้ว่ามีดีมานด์ที่บอบบาง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รัฐบาลควรหามาตรการมากระตุ้น หรืออาจจะมีการลดหย่อนภาษี เช่นเดียวกับบ้านในช่วงที่ผ่านมา”