
สัมภาษณ์พิเศษ
เก็บตกจากเวทีสัมภาษณ์พิเศษ แม่ทัพใหญ่ ค่ายโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย หลังจากเข้าร่วมงานใหญ่ งานส่งท้ายปี กับงานมหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo 2024
“โนริอากิ ยามาชิตะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สะท้อนภาพมุมมองต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไว้อย่างชัดเจน และตรงประเด็น
ในวันที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อยู่ในช่วง “ถดถอย” ทั้งกำลังผลิตและแม้แต่ยอดขายในประเทศเอง แม้ว่าจะมีผู้เล่นหน้าใหม่ ดาหน้าเข้าร่วมทำตลาดในบ้านเราเพิ่มขึ้น มีรถใหม่จากค่ายจีนมากถึง 10 แบรนด์ 40 รุ่น ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกันเท่ากับปีก่อนคือ 13% ขณะที่โตโยต้า มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 38% ซึ่งเรามอง “สูงเกิน” ไปด้วยซ้ำ และไม่คิดว่าจะได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งถือว่า “สูงสุด” ในรอบ 15 ปี และนั้นเป็นผลมาจากที่ “ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจโตโยต้า และโตโยต้าจะพยายามรักษาสัดส่วนตลาดให้ได้แต่อาจจะไม่สูงถึงในปัจจุบัน”
ขายทั้งปีไม่ถึง 6 แสน
เมื่อถามถึงสถานการณ์ของตลาดและคาดการณ์ในปีนี้ “ยามาชิตะ” ยอมรับว่า สถานการณ์ยานยนต์ในปัจจุบันค่อนข้างมีความยากลำบาก หากเทียบกับปี พ.ศ. 2562 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ที่มียอดการผลิตราว 2 ล้านคัน แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน ผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศ 1 ล้านคัน ปีนี้การผลิตเพื่อส่งออกยังคงตัวอยู่ในระดับเดิมที่ 1 ล้านคันได้ ในขณะที่ยอดผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศลดลง อาจไม่ถึง 600,000 คัน ถือว่าต่ำมาก เพราะต้องย้อนไปถึง พ.ศ. 2552 หรือ 14-15 ปีก่อนเลยทีเดียวที่ประเทศไทยเคยขายได้เพียงเท่านี้
ส่วนโตโยต้ามีการส่งออกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562 แต่ยอดจำหน่ายในประเทศมียอดลดลงตามขนาดตลาด แต่ด้วยความพยายามของเรา ทำให้มีสัดส่วนตลาดรวมในประเทศได้มากกว่า 37% ทั้งนี้ เชื่อว่าจากสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น GDP ในไตรมาสที่ 3 มีการขยายตัว 3% และการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ของธนาคารแห่งประเทศไทย
โตโยต้ามั่นใจว่า สถานการณ์ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น อุตสาหกรรมยานยนต์มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีสัดส่วนต่อ GDP ถึง 10% เราจึงหวังให้รัฐบาลมีมาตรการที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่กำลังตกอยู่ในความยากลำบากนี้ต่อไปด้วย
เชื่อดีมานด์ปิกอัพยังเยอะ
รถปิกอัพเป็นรถที่โตโยต้าให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นรถที่ประชาชนใช้ในชีวิตประจำวัน รองรับการใช้ทุกรูปแบบ เราเชื่อว่าดีมานด์ยังมีอยู่ แต่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากในปัจจุบัน และผู้มีรายได้น้อยประสบปัญหาในการซื้อ และเชื่อว่าตลาดรวมรถปิกอัพตกลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 200,000 คัน น่าจะอยู่ราว ๆ 160,000 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดแค่ 30% ส่วนโตโยต้าได้พัฒนารถปิกอัพไฮลักซ์ให้รองรับกับความต้องการใช้งานต่าง ๆ ของประชาชนชาวไทย ทำให้ได้รับความไว้วางใจ สร้างสัดส่วนตลาดของยอดขายตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคมปีนี้มากกว่า 46%
ที่สำคัญ รถปิกอัพมีสัดส่วนการซื้อชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศสูงถึง 80-90% มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าปีนี้จะมียอดจำหน่ายที่ลดลง แต่รถปิกอัพเป็นรถที่ชาวไทยนิยมใช้งาน โตโยต้าจะพยายามสร้างยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น
ลั่นรักษ์โลกไม่จำเป็นต้อง EV
“ยามาชิตะ” และ “โตโยต้า” ยังยืนยันเช่นเดิมว่า การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนคงจะไม่มีตัวเลือกเพียงแค่ BEV แต่รถ HEV, PHEV รวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นตัวเลือกที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ด้วย โตโยต้าคิดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าเทคโนโลยีใดจะมีความเหมาะสม ดังที่ได้ประกาศตัวเลขไปแล้วว่า รถ HEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 40% ในขณะที่รถ BEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 1%
ตัวเลขทั้งสองนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์ในการเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ลูกค้าซื้อรถยนต์ไปใช้ คงจะใช้มากกว่า 10 ปี การบริการหลังขาย โปรแกรมด้านการเงินจากสถาบันการเงิน ฯลฯ เป็น Value Chain สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่พึงได้รับ จากที่เราได้ประกาศไว้ในงานนี้เมื่อปีที่แล้วว่า โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายรถปิกอัพ BEV ในปลายปี 2568 ถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เ
พราะนอกจากต้นทุนแล้ว ในเรื่องของการใช้งานตามความต้องการของลูกค้าก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ รถปิกอัพเป็นเสาหลักของโตโยต้า และโตโยต้าจะพัฒนารถปิกอัพ BEV ใหม่ออกมาให้ได้ดี ตอบรับความต้องการของลูกค้า คงจะมาอยู่ที่ระดับ 800,000-1 ล้านคันได้
ส่วนวันนี้มีปิกอัพ EV เป็นตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นให้กับผู้บริโภค เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์ ผู้ใช้ปิกอัพไทยต้องการรถปิกอัพไปใช้ในหลายหลากรูปแบบการใช้งาน มีการทำ Conversion เพื่อบรรทุกสิ่งของ บรรทุกคน ขนสินค้า ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะพัฒนารถปิกอัพให้รองรับกับความต้องการทั้งหมดนั้นให้ได้ รถปิกอัพ BEV ที่โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายปลายปีหน้า ก็เป็นรถไฮลักซ์ที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ให้ได้ด้วย
และโตโยต้าต้องการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านรถยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้าที่หลายหลากรูปแบบการขับเคลื่อน ให้เหมาะสมกับตลาดและความต้องการของลูกค้า อีกทั้งรถปิกอัพ BEV ที่เราผลิตนี้เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกด้วย การพัฒนารถยนต์ให้ตอบรับกับความต้องการของประเทศปลายทางการส่งออก ก็เป็นเรื่องท้าทายด้วยเช่นกัน
เสนอ 3 มาตรการฟื้นตลาด
ที่ผ่านมามีการสรุปข้อเสนอที่เป็นมาตรการระยะยาว ที่ได้จากการสอบถามสมาชิกในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ JCC (หอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ) และ TAPMA (สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งประเทศไทย) สำหรับมาตรการระยะสั้นที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้นั้น มีที่มาที่ไปจากการกู้ไม่ผ่าน และเศรษฐกิจประสบความยากลำบาก อันมีสาเหตุมาจากสัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนสูงถึง 90% เราต้องการให้รัฐบาลผ่อนผันเงื่อนไขการปล่อยกู้ และมีมาตรการช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น โตโยต้าต้องการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล 3 เรื่อง ได้แก่
1.รัฐบาลควรมีแผนระยะกลางและระยะยาวที่ตอบรับความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในการสนับสนุนการผลิตรถยนต์กลุ่มที่มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างสูง นั่นคือ รถปิกอัพ รถ PPV และรถอีโคคาร์ 2.การออกมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมในระยะสั้น ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังประสบความยากลำบากดังเช่นปัจจุบัน และการสนับสนุนให้มีตัวเลือกยานยนต์ขับขี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่ BEV แต่ให้ครอบคลุมถึง FCEV, PHEV, HEV และรถยนต์ใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
พร้อมลงทุนในไทยต่อ
จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่รัฐบาลไทยมีความเป็นห่วงว่า ผู้ผลิตเอกชนญี่ปุ่นจะยังคงลงทุนหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไทย (ท่านเอกนัฏ) ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อยืนยันความต้องการลงทุนของผู้ผลิตญี่ปุ่น และโตโยต้าได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะลงทุนไม่น้อยกว่าที่ได้แจ้งตัวเลขไว้ให้ ทั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาลมีมาตรการออกมาช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ที่มีส่วนพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ คือรถปิกอัพ PPV และรถอีโคคาร์
เบื่อสงครามราคา
การรีรอที่จะซื้อเพราะการลดราคา 200,000-300,000 บาท เกิดขึ้นจริงนั้น โตโยต้ามองว่าหากลดได้ขนาดนี้ แล้วยังสามารถสร้างกำไรได้ด้วยละก็ คงต้องยอมรับว่าผู้ผลิตจีนมีศักยภาพแข่งขันด้านราคาที่สูงทีเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลดราคาขนาดนี้คงจะเกิดขึ้นเฉพาะในรถ BEV เท่านั้น
สำหรับโตโยต้าไม่ลด และไม่คิดที่จะลดราคาไปแข่งขันแน่นอน เพราะผู้บริโภคคงต้องการรถที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย หากลดราคาลงมากขนาดนี้ จะมีผลกระทบต่อการขายต่อแน่นอน