“ซัสเทนเนเบิลซูมซูม 2030” “มาสด้า” ต่อยอดอีวี-รถไร้คนขับ

มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ออกเทียบเชิญผู้สื่อข่าวจากประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เข้าร่วมงาน MAZDA PAN PACIFIC ASEAN MEDIA FORUM เพื่อสัมผัสที่สุดแห่งเทคโนโลยีจากมาสด้า และสมรรถนะของรถยนต์มาสด้ารุ่นใหม่ เพื่อให้เห็นถึงทิศทางกระบวนการผลิตรถยนต์มาสด้าที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงธีมการออกแบบเจเนอเรชั่นใหม่ของ “โคโดะ ดีไซน์” (KODO DESIGN) อันงดงาม และที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด เทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่พัฒนาขึ้นแบบไม่หยุดยั้ง

งานนี้ “ทาเคจิ โคจิมา” เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง, ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายสื่อสารองค์กร มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ฉายภาพให้เห็นถึงทิศทาง และแผน “ซัสเทนเนเบิลซูมซูม 2030” ซึ่งมีทั้งเครื่องยนต์ สกายแอคทีฟ เอ็กซ์ ที่จะใช้จริงปี 2562 ตามมาด้วยรถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ

โชว์วิชั่น 2030

เป้าหมายและวิสัยทัศน์ของซัสเทนเนเบิลซูมซูม 2030 มาสด้าให้ความสำคัญในการลดภาวะเรือนกระจกและกำจัดมลพิษทั่วโลก โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมาสด้าตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 50% ภายใน 2030 และลด 90% ภายในปี 2050 โดยใช้การสันดาปรวมกับเทคโนโลยีไฟฟ้า เพื่อให้เกิดเป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในโลก และต่อยอดเพื่อพัฒนาการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมทั้งรถยนต์ไร้คนขับ ล่าสุดมาสด้าได้จัดกิจกรรม “มาสด้า อาเซียน เทค ฟอรั่ม 2018” เพื่อนำเสนอแนวคิดในการพัฒนารถยนต์ในอนาคต รวมทั้งทดสอบเครื่องยนต์ “สกายแอคทีฟ เอ็กซ์” เครื่องยนต์เบนซิน เจนใหม่ ภายใต้เทคโนโลยี homogeneous charge com-pression ignition (HCCI) โดยเป็นการผสมเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เป็น next gen ของก๊าซโซลีน เพราะรวมข้อดีของทั้ง 2 ไว้ด้วยกัน ซึ่งเครื่องยนต์ใหม่นี้จะให้แรงอัดที่สูงขึ้น ใช้น้ำมันลดลง ดังนั้นจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้น มีการตอบสนองสูง ให้รอบเครื่องยนต์สูง ปล่อยไอเสียน้อย

โดยในการทดสอบครั้งนี้ได้ใช้มาสด้า 3 ขนาด 2.0 190 แรงม้า มาสด้ามั่นใจว่าสกายแอคทีฟ เอ็กซ์ จะช่วยให้สมรรถนะดีขึ้น 30% เมื่อเทียบกับเครื่องรุ่นก่อน การใช้น้ำมันน้อยลง 20% นอกจากนี้ เราจะควบรวมระบบนี้กับระบบ “มายไฮบริด” เพื่อซัพพลายอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ เพื่อลดโหลดเครื่องยนต์ และเราจะพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นนี้ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ในราคาที่เหมาะสม

สกายแอคทีฟ เอ็กซ์ พร้อมมาสด้าตั้งเป้าหมายที่จะนำเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ เอ็กซ์ จะนำมาใช้กับรถยนต์มาสด้าในปี 2562 เพื่อเข้ามาเสริมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ดี และสกายแอคทีฟ จี แต่จะมีเครื่องที่เล็กหรือใหญ่กว่า 2.0 หรือไม่นั้นกำลังศึกษา นอกจากนี้ได้พัฒนาช่วงล่างแบบทอร์ชั่นบีมรุ่นใหม่ เพื่อใช้สำหรับช่วงล่างด้านหลัง ซึ่งจะช่วยลดไทม์แล็กระหว่างแรงสะเทือนที่ถูกส่งถึงห้องคนขับ เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น เนื่องจากมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาให้รถยนต์รับกับสรีระมนุษย์มากที่สุด

กวาดรายได้ 31.3 พัน ล.เหรียญ

ภาพรวมมาสด้าทั่วโลกในปีที่ผ่านมามีรายได้ 31.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ มียอดขาย 1.6 ล้านคันยอดขายอาเซียนคิดเป็น 7% ผ่าน 370 ตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกใน 100 ประเทศ มีโรงงานผลิต 7 แห่งทั่วโลก โดยมีที่ญี่ปุ่น 2 แห่ง และในไทย 2 แห่ง ได้แก่ ระยอง และชลบุรี สำหรับมาสด้าไทยมียอดขาย 56,379 คัน สูงสุดในรอบ 5 ปี เป็นอันดับ 7 ของยอดขายมาสด้าทั่วโลก มีอัตราการเติบโต 31%

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีไฮบริดช่วงแรกจะขายในญี่ปุ่น และจะขายทั่วโลกในปี 2562 สำหรับประเทศไทยยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะนำเข้ามาเมื่อไหร่ อาจจะหลังจากทั่วโลกสักระยะ และคาดว่าจะเป็นการนำเข้าเทคโนโลยีและนำมาประกอบในไทย โดยตอนนี้กำลังศึกษา

ปิกอัพใหม่ต้องรออีก 2 ปี

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย เป็นโรงงานที่แชร์กับฟอร์ด 50-50 เพื่อประกอบและส่งออกรถยนต์ไปทั่วโลก โดยปัจจุบันสามารถประกอบได้ 1 แสนคัน/ปี และเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตของไทยและภูมิภาคอาเซียน จึงได้มีการร่วมกับโรงงานพาร์ตเนอร์ในมาเลเซียและเวียดนามที่เพิ่งเพิ่มการลงทุน นอกจากนี้มาสด้ายังเป็นพาร์ตเนอร์กับอีซูซุในการผลิตรถปิกอัพที่จะเริ่มปี 2564 โดยจะผลิตได้ 4 หมื่นคัน/ปี ดังนั้นเอเอทีของมาสด้าจะมีที่คาพาซิตี้ในการผลิตเพิ่มขึ้น

จากช่องว่างที่หายไป เบื้องต้นคาดว่าจะมาช่วยในการผลิตมาสด้า2 ที่ปัจจุบันผลิตไม่ทันตามความต้องการ