ลดภาษีหนุนรถยนต์ไฮบริด EV จีนเฮยืดเวลาผลิตชดเชย

บอร์ดอีวีเคาะมาตรการลดภาษีสรรพสามิตกลุ่ม HEV-MHEV ยันไทยต้องเป็นศูนย์กลางผลิตและส่งออกรถยนต์ทุกเซ็กเมนต์ พร้อมขยายเวลาผลิตชดเชยรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าตามมาตรการ EV3 ให้ยกยอดไป EV3.5 แต่ไม่ให้ได้รับเงินอุดหนุน 9 ยักษ์จีนเฮรับมาตรการช่วยเหลือของรัฐ หลังยอดขายสะดุด กระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ดอีวี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ได้เห็นชอบมาตรการ 2 เรื่องสำคัญ คือ 1) มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับผลิตรถยนต์ Hybrid (HEV) และ Mild Hybrid (MHEV)

2) การขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 โดยให้สามารถโอนไปผลิตชดเชยตามเงื่อนไขมาตรการ EV3.5 และระงับการให้เงินอุดหนุนจนกว่าจะผลิตชดเชยได้ครบถ้วน โดยทั้ง 2 มาตรการมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสมดุลการแข่งขันและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนทั้งระบบ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกในทุกประเภท” ในระยะยาว

อนุมัติลดภาษีสรรพสามิต HEV-MHEV

สำหรับ “มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” บอร์ด EV ได้เห็นชอบการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน 10 คน แบบ HEV และ MHEV ซึ่งผลิตในประเทศ ดังต่อไปนี้

1) มาตรการสนับสนุนรถยนต์ HEV กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569-2575) ตามมติบอร์ดอีวีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 โดยมีอัตราและเงื่อนไขการลงทุน ได้แก่

(1.1) ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 6 กับการปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101-120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 9

ADVERTISMENT

(1.2) ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567-2570 (1.3) ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ ตั้งแต่ปี 2571

โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กรณีลงทุนเพิ่มเติม 3,000 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5,000 ล้านบาท จะต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูงทั้ง 3 ชิ้นเท่านั้น ได้แก่ Traction Motor, Reduction Gear, Inverter แต่หากลงทุนเพิ่มเติมตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป สามารถเลือกใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูง ร่วมกับกลุ่มมูลค่าปานกลางได้ เช่น BMS, DCU, Regenerative Braking System เป็นต้น

ADVERTISMENT

และ (1.4) ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ ดังนี้ ระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบดูแลภายในช่องจราจร, ระบบเตือนการออกหรือเปลี่ยนช่องจราจร, ระบบตรวจจับจุดบอด และระบบควบคุมความเร็ว

2) มาตรการสนับสนุนรถยนต์ MHEV ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า โดยมีแรงดันไฟฟ้าในการขับเคลื่อนต่ำกว่า 60 โวลต์ และอาศัยเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับโลก

บอร์ดอีวีได้กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569-2575) โดยมีอัตราและเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้ (2.1) ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10 กับการปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101-120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 12

(2.2) ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือ ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567-2569 และไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567-2571 (2.3) ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ

โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป และ (2.4) ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ เช่นเดียวกับเงื่อนไขของ HEV

ปรับเงื่อนไขแก้สงครามตัดราคา

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) บอร์ด EV ได้พิจารณาเรื่องการขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ซึ่งเป็นข้อเสนอจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ให้พิจารณาขยายเวลาเงื่อนไขการผลิตชดเชยสำหรับผู้ผลิตที่ได้รับเงินสนับสนุนตามมาตรการ EV3

ซึ่งเดิมกำหนดว่า ต้องผลิตให้ครบถ้วนตามสัญญาภายในปี 2567-2568 เนื่องจากยอดขายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอยู่ในภาวะหดตัว จากปัญหาความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่า สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในปัจจุบันอาจมีความเสี่ยงจากภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ซึ่งนำไปสู่สงครามราคาที่รุนแรงมากขึ้น และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ บอร์ด EV จึงมีมติให้ปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการ EV3 ที่เดิมกำหนดให้ต้องผลิตรถยนต์เพื่อชดเชยการนำเข้าในอัตราส่วน 1 : 1 เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 1 คัน) ภายในปี 2567 หรือ 1 : 1.5 เท่า ภายในปี 2568

โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายเวลาผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ไปผลิตชดเชยภายใต้เงื่อนไขของมาตรการ EV3.5 ได้ (ผลิตชดเชย 2 เท่า ภายในปี 2569 หรือ 3 เท่า ภายในปี 2570) โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการขยายเวลาข้างต้นจะไม่ได้รับเงินอุดหนุน

รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าในส่วนที่นำเข้าหรือผลิตภายใต้มาตรการ EV3.5 ก็จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนเช่นเดียวกัน จนกว่าจะผลิตชดเชยได้ครบตามจำนวนที่ได้รับสิทธิขยายเวลา และอนุญาตให้นำรถยนต์สำเร็จรูป (CBU) ที่นำเข้าภายใต้ EV3 ที่ยังไม่จำหน่าย ส่งออกไปต่างประเทศโดยไม่นับเป็นยอดที่ผลิตชดเชย

นอกจากนี้ ที่ประชุมไม่อนุมัติให้ขยายเวลาการผ่อนผันให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเขตปลอดอากร หรือเขตประกอบการเสรี ซึ่งต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศมากกว่าร้อยละ 40 สามารถนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่าของชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 15 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2568 เป็นสิ้นสุดในปี 2570 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเร่งให้เกิดการผลิตและใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และนโยบายเร่งดึงดูดให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศไทย

ทั้งนี้ BOI ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตรถยนต์ BEV แบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมเงินลงทุนกว่า 81,000 ล้านบาท ในส่วนของมาตรการ EV3 และ EV3.5 โดยกรมสรรพสามิตมีผู้เข้าร่วมมาตรการจำนวน 26 บริษัท คิดเป็นจำนวนยานยนต์ทุกประเภทรวมกันกว่า 133,000 คัน

สำหรับยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในช่วง 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม 2567) มีจำนวน 59,746 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จดทะเบียน 21,657 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ชี้เหตุแข่งเดือดแต่ขาย EV แผ่ว

ด้านแหล่งข่าวฝ่ายบริหารค่ายรถยนต์สัญชาติจีนกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลกระทบจากภาวะตลาดรถยนต์หดตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและไฟแนนซ์กังวลหนี้เสียไม่ปล่อยกู้ส่งผลให้อัตราปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูงขึ้น ประกอบตลาดส่งออกได้รับผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การขนส่งล่าช้าและมีหลายประเทศแบนรถ EV จากจีน ทำให้ตอนนี้ตลาดรถ EV แผ่วหดตัวเยอะมาก

บรรดาผู้ประกอบการรถจีน 9 ราย ได้แก่ MG, เกรท วอลล์ มอเตอร์, NETA, BYD, AION, CHANGAN, OMODA&JAECOO, GEELY และรายล่าสุด JUNEYAO ได้มีการหารือกันถึงผลกระทบ โดยเฉพาะปัญหาด้านการผลิตภายใต้เงื่อนไข EV3.0 และ EV3.5 ซึ่งจะต้องผลิตชดเชย จึงอยากให้รัฐบาลไทยผ่อนผันกฎเกณฑ์ลง

“เงื่อนไขการผลิตชดเชยเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะปีนี้มีหลายค่ายเริ่มเดินหน้าผลิตกันแล้วตามสัดส่วน 1 : 1 แต่รถที่ผลิตออกมาก็สร้างปัญหากลายเป็นสต๊อก จากการหารือต้องการให้รัฐบาลชะลอหรือเลื่อนหรือขยายเวลาที่ระบุว่า จะต้องชดเชยปีแรก 1 : 1 คัน ปีที่สอง 1 : 1.5 ออกไปก่อน ซึ่งบีโอไอก็ขยายเวลาผลิตชดเชยให้สอดรับกับสถานการณ์ยอดขายที่ลดลงแล้ว แม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่ามาตรการปัจจุบันที่ใช้อยู่” แหล่งข่าวกล่าว

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานเพิ่มเติมเข้ามาว่า สำหรับค่ายจีนที่ประกาศลงทุนตั้งโรงงานผลิตในไทย มีเม็ดเงินลงทุนหลายแสนล้านบาท และมีโรงงานรถ EV ที่เริ่มเดินสายการผลิตแล้วในปี 2567 อาทิ BYD ระยอง มูลค่าการลงทุน 17,900 ล้านบาท, SAIC Motor+CP ผลิตแบรนด์ MG โรงงานตั้งอยู่ จ.ชลบุรี มูลค่าการลงทุน 10,000 ล้านบาท, เกรท วอลล์ มอเตอร์ ระยอง มูลค่าการลงทุน 12,000 ล้านบาท,

GAC AION ระยอง มูลค่าการลงทุน 2,300 ล้านบาท, NETA จ้างประกอบจากโรงงานบางชัน ของกลุ่ม PNA มูลค่าการลงทุน 3,500 ล้านบาท ส่วนที่จะเริ่มผลิตปี 2568 เป็นต้นไป อาทิ ฉางอาน ตั้งโรงงานในนิคม WHA จ.ระยอง มูลค่าการลงทุน 8,862 ล้านบาท และเชอรี่กรุ๊ป โรงงานผลิต จ.ระยอง มูลค่าการลงทุน 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ ประเทศไทยมีเป้าหมายผลิตตั้งแต่ปี 2568 โดยรวมทุกประเภททั้งสิ้น 1 ล้านคัน ปี 2578 ผลิต 1.8 ล้านคัน

แม้แต่ ปตท.ยังถอย EV

ก่อนหน้านี้ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เคยกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กลุ่ม ปตท.ได้ตัดสินใจชะลอการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิต EV บนพื้นที่กว่า 350 ไร่ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มฟ็อกซ์คอนน์

เนื่องจากตลาดรถ EV จีนมีการแข่งขันราคารุนแรง และตลาดมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปจากช่วงที่มีการตัดสินใจตั้งโรงงานประกอบรถ EV ในประเทศไทย ประกอบกับปัจจุบันค่ายรถ EV จีนก็ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก

ให้เน้นลงทุนอุตฯสีเขียว

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ว่า การประชุมคณะกรรมการมีนโยบาย 2 เรื่องที่จะฝากไว้ คือ เรื่องแรก รัฐบาลมีนโยบายที่มุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียว คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดให้สอดคล้องกับการเป็นศูนย์กลางทางคาร์บอน

รัฐบาลจะมุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เรื่องที่ 2 อยากจะผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าในทุกมิติ และให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนา เทคโนโลยี และยกระดับขีดความสามารถในการผลิต โดยต้องการให้ประเทศไทยเป็นฮับของรถ EV เพราะฉะนั้น ต้องมีมาตรการทางการเงินมากพอสมควร จึงอยากให้ผลักดันและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ทำอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน